ครม.แจกเงินบัตรสวัสดิการ คนละครึ่ง เทกระจาดเงินกู้ 1.5 ล้านล้าน

มติ ครม.

ครม.เทกระจาดเงินกู้ 1.5 ล้านล้าน

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติโครงการฟื้นฟู เยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จำนวน 4 โครงการ วงเงิน 140,380 ล้านบาท ดังนี้ 1.โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 จำนวนไม่เกิน 31 ล้านคน โดยแบ่งการใช้สิทธิเป็น 2 รอบ รอบละ 1,500 บาท รวม 3,000 บาท งบประมาณรวม 93,000 ล้านบาท ทั้งนี้ สามารถลงทะเบียนรับสิทธิได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน-ธันวาคม 2564 หรือจนกว่าสิทธิจะเต็ม เริ่มใช้สิทธิได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2564 คาดว่าจะทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 186,000 ล้านบาท ส่งผลให้จีดีพีขยายตัวร้อยละ 0.5

2.โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ โดยจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในรูปแบบบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Voucher) เมื่อชำระเงินผ่าน G-wallet บนแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” กับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ติดตั้งแอปพลิเคชั่น “ถุงเงิน” (ไม่รวมถึงสินค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ) ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม-30 กันยายน 2564 โดยจำกัดวงเงินใช้จ่ายสูงสุดที่จะนำมาคำนวณสิทธิ ไม่เกิน 60,000 บาทต่อคน และไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน

และจะได้รับสิทธิสะสมสูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการ กลุ่มเป้าหมายไม่เกิน 4 ล้านคน และต้องไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com หรือแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” และยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนที่สาขา หรือตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงไทย หรือแอปพลิเคชั่น KrungthaiNext รวมวงเงินงบประมาณ 28,000 ล้านบาท

3.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 โดยช่วยเหลือวงเงินค่าซื้อสินค้าจากร้านค้าธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น (ร้านธงฟ้าฯ) และค่าซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 จำนวน 200 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงธันวาคม 2564 รวมเป็นวงเงินไม่เกิน 1,200 บาทตลอดระยะเวลาโครงการ (กรณีมีวงเงินคงเหลือในเดือนใดจะไม่มีการสะสมไปในเดือนถัดไป) กลุ่มเป้าหมาย 13,650,159 คน วงเงินรวม 16,380 ล้านบาท

4.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ หลักเกณฑ์เช่นเดียวกับโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 กลุ่มเป้าหมาย เช่น ผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงได้ ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ทุพพลภาพ ผู้ป่วยติดเตียง รวมถึงผู้ที่ลงทะเบียนด้วยตัวเองไม่สำเร็จ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับสิทธิตามโครงการเราชนะ ไม่เกิน 2,500,000 คน วงเงินงบประมาณรวม 3,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังเห็นชอบโครงการบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ วงเงิน 10,569 ล้านบาท ประกอบด้วยค่าใช้จ่าย ค่าบริการป้องกันการติดเชื้อ 6,353 ล้านบาท

ค่าบริการรักษาผู้ป่วย 3,417 ล้านบาท สำหรับผู้ป่วยคนไทยและผู้ป่วยใน state quarantine รวมทั้งปรับเพิ่มสัดส่วนการเข้ารับการรักษาใน hospitel และสัดส่วนการรับส่งต่อโรงพยาบาลกับ hospitel และระหว่างบ้าน ด่านตรวจคนเข้าเมือง และสนามบินมาโรงพยาบาล

ค่าบริการฉีดวัคซีน จำนวน 760 ล้านบาท โดยขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมเป็น 40 บาทต่อครั้ง จากเดิม 20 บาทต่อครั้ง ค่าบริการรักษาอาการไม่พึงประสงค์ จำนวน 30 ล้านบาท และค่าตรวจวินิจฉัยและรักษาภาวะ VITT จำนวน 9 ล้านบาท เพื่อรองรับการจัดบริการรักษาพยาบาลสำหรับประชากรสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ได้รับผลกระทบข้างเคียงจากวัคซีนโควิด-19

นายอนุชากล่าวว่า ครม.ยังเห็นชอบโครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัย สำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อีก 3 เดือน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-กันยายน 2564 วงเงินรวมไม่เกิน 1,575 ล้านบาท จัดหารถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยแบบ 2 จุดบริการ (Biosafety Mobile Unit) จำนวน 11 คัน และรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ (Express Analysis Mobile Unit) จำนวน 11 คัน เพื่อดำเนินการค้นหาผู้ติดเชื้อในระดับพื้นที่ รวมวงเงิน 129 ล้านบาท