ร่วมด้วยช่วยกัน ดร.มณฑลี กปิลกาญจน์, พรชนก เทพขาม ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธปท.
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยืดเยื้อสร้างผลกระทบต่อแรงงานรุนแรง ข้อมูลล่าสุด ณ ไตรมาส 2 ปี’64 มี 1) ผู้ว่างงาน/เสมือนว่างงานที่ทำไม่ถึง 4 ชม.ต่อวัน รวม 3 ล้านคน 2) ผู้ว่างงานระยะยาวเกิน 1 ปี 1.7 แสนคน มากกว่าช่วงก่อนโควิด 3 เท่าตัว 3) แรงงานที่ต้องกลับสู่ภูมิลำเนามีมากถึง 1.6 ล้านคน สูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงก่อนโควิดที่ 5 แสนคนมาก นอกจากนี้ คาดว่าในปี’63-65 รายได้จากการจ้างงานจะหายไปกว่า 2.6 ล้านล้านบาท นับเป็น “วิกฤตหลุมรายได้” ในระบบเศรษฐกิจไทย
ที่ผ่านมารัฐได้ออกมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโควิด-19 หลายรูปแบบ อย่างไรก็ดี ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้คือ ผลกระทบของมาตรการต่อแรงงานและผู้ดำเนินธุรกิจต่าง ๆ ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ บทความนี้ขอเชิญชวนทุกท่านแลกเปลี่ยนมุมมองด้านมาตรการแรงงานที่เหมาะสม ยืดหยุ่น พร้อมรับการอยู่ร่วมกับโควิด-19
เมื่อมองย้อนไปปีก่อน เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ภาครัฐได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่ 26 มี.ค. 63 ต่อมาได้ปรับระดับความเข้มงวดเป็นระยะ ๆ จนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ ผลกระทบจากมาตรการควบคุมโรคที่รุนแรงมากที่สุด อย่างการล็อกดาวน์ส่งผลต่อบางธุรกิจเป็นพิเศษ ช่วงล็อกดาวน์ไตรมาส 2 ปี’63 ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบสูง อาทิ กลุ่มการบิน ถูกห้ามบินเข้าสู่ประเทศชั่วคราว ทำให้ตลอดการล็อกดาวน์จำนวนผู้โดยสารนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกลายเป็นศูนย์ ปี’63 การขนส่งทางอากาศได้รับผลกระทบรุนแรงสุดในรอบ 10 ปี ผู้โดยสารระหว่างประเทศลดลงกว่า 80% และภายในประเทศลดลง 45% เมื่อเทียบกับปี’62 ธุรกิจขนส่งผู้โดยสารก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการจำกัดการเดินทาง
ธุรกิจโรงแรมอัตราการเข้าพักช่วงล็อกดาวน์ลดลงเหลือเพียง 2-3.8% ขณะที่ช่วงผ่อนคลายมาตรการกลับมาอยู่ที่ 25-35% รวมถึงธุรกิจในกลุ่มศิลปะและความบันเทิง โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวที่รายได้ลดลงมากกว่า 90% นอกจากนี้ ร้านอาหาร ร้านค้า และกลุ่มธุรกิจศูนย์การค้า ก็ถูกกระทบเช่นเดียวกัน แม้จะปรับตัวไปทำการค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้บ้าง
ในเดือนกรกฎาคม 64 หลังจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งสูงแตะระดับหมื่นคน และกลุ่มผู้ป่วยอาการหนักจำนวนเพิ่มขึ้นมาก มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดได้ถูกกลับมาใช้อีกครั้งในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดรุนแรง ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเป็นธุรกิจเดิม ๆ ที่ยังไม่หายจากบาดเจ็บตั้งแต่ล็อกดาวน์ปีก่อน และถูกซ้ำเติมด้วยกำลังซื้อที่ลดลงตามรายได้ที่ลดลงจากผลกระทบของโรคที่ลากยาวเป็นปี โดยมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เพิ่มเติมปีนี้คือการสั่งปิดแคมป์คนงานก่อสร้างเป็นเวลา 1 เดือน ส่งผลทันทีต่อธุรกิจก่อสร้าง และต่อเนื่องไปยังกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ความเชื่อมั่นของธุรกิจก่อสร้างและอสังหาฯลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
นอกจากนี้ ยังมีกิจการอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการ work from home เต็มรูปแบบ ซึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้ใช้วิธีการปรับสภาพคล่องผ่านการลดค่าจ้างแรงงาน มักให้สลับกันมาทำงานหรือลดชั่วโมงทำงานก่อน เห็นได้จากจำนวนผู้เสมือนว่างงานเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่บางธุรกิจอาจปรับลดเงินเดือนร่วมด้วย ต่อมาเมื่อสถานการณ์แย่ลงจึงค่อยพิจารณาปลดคนงาน จากสถานการณ์แพร่ระบาดที่ยืดเยื้อคาดว่าสิ้นปี’64 ผู้ว่างงาน/เสมือนว่างงานจะมีจำนวน 3.4 ล้านคน เพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนโควิดกว่า 1 ล้านคน
มาตรการเยียวยาตลาดแรงงานของรัฐในระยะที่ผ่านมามีความครอบคลุมสอดรับกับผลกระทบในวงกว้าง แต่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณค่อนข้างมาก ในไตรมาส 3 ปี’64 มาตรการเยียวยาแรงงานและกิจการที่ได้รับผลกระทบ แบ่งความช่วยเหลือเป็น 3 กลุ่มคือ 1) ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม มาตรา 33 รับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมรายละ 2,500 บาท และได้รับเงินชดเชยกรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัย 50% ของค่าจ้างรายวัน รวมไม่เกิน 10,000 บาทต่อราย 2) สถานประกอบการที่มีลูกจ้างในระบบประกันสังคมรับเงินช่วยเหลือ 3,000 บาทต่อแรงงาน 1 คน สูงสุดไม่เกิน 200 ราย
3) ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่เป็นผู้ประกันตน มาตรา 39 (เคยเป็นลูกจ้างในระบบประกันสังคม มาตรา 33) และมาตรา 40 (ไม่เคยเป็นลูกจ้างในระบบประกันสังคม มาตรา 33) รับเงินช่วยเหลือรายละ 5,000 บาท
แม้มาตรการเยียวยาเหล่านี้จะทั่วถึงแต่หากการแพร่ระบาดยังยืดเยื้อต่อเนื่องจะต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมาก และอาจสร้างแรงจูงใจที่ผิด (moral hazard) ให้แรงงานและสถานประกอบการไม่ต้องปรับตัวเพื่อยกระดับศักยภาพของตน จึงควรทบทวนแนวทางการดำเนินมาตรการด้านแรงงานหลังประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ตามข้อกำหนด และข้อปฏิบัติแก่ส่วนราชการทั้งหลายตามคำแนะนำของ ศบค. วันที่ 28 ส.ค. 64 ดังนี้
1) สร้างกลไกเอื้อให้ตลาดแรงงานมีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ทันการณ์ สอดคล้องกับการที่มีแรงงานคืนถิ่น และต้องย้ายออกจากกิจกรรมเศรษฐกิจที่ต้องปิดตัวชั่วคราว อาทิ จับคู่งานแก่กลุ่มแรงงานที่ว่างงาน ทั้งงานชั่วคราวและงานประจำของภาครัฐและเอกชน ควบคู่กับการจับคู่แรงงานให้เข้าถึงการยกระดับ/ปรับทักษะ กลุ่มเป้าหมายคือ แรงงานที่ว่างงานกว่า 7 แสนคน โดยในส่วนของการจ้างงานชั่วคราวภาครัฐและเอกชนที่ตรงกับทักษะ
อาทิ นักศึกษาจบใหม่ 2.6 แสนคน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความรู้แต่ขาดประสบการณ์ ทั้งผู้สำเร็จการศึกษาระดับ ปวช. และ ปวส.ที่มีทักษะการทำงานในภาคการผลิตและทักษะงานช่างอื่น ๆ ซึ่งหากขาดโอกาสในการปฏิบัติงานในระยะแรกของเส้นทางอาชีพจะทำให้เกิดผลกระทบต่อการพัฒนาทุนมนุษย์ในระยะยาว จึงควรมีมาตรการจ้างงานชั่วคราวภาครัฐ ได้แก่ โครงการปรับปรุงระบบไฟฟ้าในพื้นที่ส่วนกลางชุมชน อาจมอบหมายให้ภาคเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจร่วมรับผิดชอบโครงการให้เกิดประสิทธิภาพ และเปิดโอกาสแรงงานพัฒนาทักษะจากการร่วมงานกับผู้เชี่ยวชาญอีกด้วย
นอกจากนี้ กลไกจับคู่แรงงานให้เข้าถึงการยกระดับ/ปรับทักษะ ก็มีความสำคัญ โดยภาครัฐควรอุดหนุนให้แรงงานเข้าถึงช่องทางการยกระดับ/ปรับทักษะให้สอดคล้องกับพื้นฐานความรู้และประสบการณ์ของตนเพื่อให้สามารถพัฒนาตนเองสำหรับการประกอบอาชีพในฝันได้
2) ออกแบบมาตรการช่วยเหลือให้ตรงกับความต้องการของผู้ได้รับผลกระทบแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่ธุรกิจกลับมาเปิดบริการได้บางส่วน แต่ยังคงต้องมีความระมัดระวังในการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด จึงยังควรยืดระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือแรงงานและสถานประกอบการ แต่ปรับจากการช่วยเหลือแบบเยียวยาในลักษณะครอบคลุมมาเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อาทิ ออกมาตรการเพื่อสนับสนุนการจ้างแรงงานใหม่ (copayment) ที่ขยายจากมาตรการเดิมที่จำกัดเฉพาะนักศึกษาจบใหม่เป็นแรงงานทั่วไป เพื่อสร้างแรงจูงใจให้สถานประกอบการจ้างงานเพิ่ม
โดยเฉพาะในกลุ่มกิจการขนาดเล็กที่จ้างงานไม่ถึง 50 คน ควบคู่กับมาตรการรักษาการจ้างงาน (job retention) จูงใจให้สถานประกอบการไม่ปรับลดคนงานลง โดยการดำเนินมาตรการในลักษณะนี้จะมีค่าคูณทวีสูง (high multiplier) เพราะเป็นการให้ความช่วยเหลือที่เอื้อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้ และไม่เป็นภาระงบประมาณนักเพราะเป็นการให้ความช่วยเหลือแบบตรงจุดเฉพาะแก่สถานประกอบการที่ปฏิบัติตามได้
3) ใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลขนาดใหญ่ให้เต็มที่ โดยเฉพาะข้อมูลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินมาตรการที่ผ่านมา ทั้งข้อมูลผู้รับเงินเยียวยาช่วยเหลือ และข้อมูลการใช้งานแอปพลิเคชั่นด้านสาธารณสุขต่าง ๆ ซึ่งเอื้อให้รัฐสามารถติดตามการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่ได้ทันท่วงที เอื้อให้การผสานนโยบายด้านต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคง เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ และสอดคล้องกับแนวทางที่จะดำเนินมาตรการทั้ง 2 ระดับคือ มาตรการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention for COVID-19) ควบคู่ไปกับมาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร (COVID Free Setting) อีกด้วย
มาตรการด้านแรงงานนับเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้แรงงานสามารถอยู่รอดได้ ในยุคที่ต้องอยู่ร่วมกับโรคเรื้อรังอย่างโควิด-19 อย่างไรก็ดี สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับแรงงานในยุคนี้คือ ทักษะการปรับตัวเมื่อต้องเผชิญกับอุปสรรคหรือความท้าทายใหม่ ๆ (resilience) ที่ต้องมาพร้อมกับความยืดหยุ่นทางจิตใจที่เกิดจากทัศนคติเชิงบวกต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต ผู้เขียนจึงขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านก้าวข้ามผ่านอุปสรรคไปได้ดั่ง “ตุ๊กตาล้มลุก” ที่ล้มสักกี่ครั้งก็ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ได้ทุกครั้งไป