จับตารัฐตัดสินใจ “ขุมทรัพย์ท่อส่งน้ำ”

คอลัมน์ : ชั้น 5 ประชาชาติ

ผู้เขียน : อำนาจ ประชาชาติ

การเฟ้นหาเอกชนเข้ามาดำเนินโครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก เนื่องจากสัญญาเดิมกำลังจะหมดอายุในปี 2566 กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนแรง

เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ที่มีมูลค่ามหาศาล เป็น “ขุมทรัพย์” ที่มีการผูกสัญญาระยะยาว

จึงมีความวุ่นวายเป็นธรรมดา

ที่ผ่านมาการบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออก เริ่มต้นด้วยการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้นมาบริหาร แต่ต่อมา รัฐวิสาหกิจดังกล่าวกลายเป็นเอกชนไป ดังนั้น การทำสัญญาต่าง ๆ ก็จะต้องเป็นไปในรูปแบบ “รัฐ” กับ “เอกชน”

โดย “เอกชน” ก็ต้องให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่ “รัฐ” อย่างคุ้มค่าที่สุด

นี่เป็นหลักการโดยทั่ว ๆ ไป แบบที่แทบไม่ต้องคิดอะไรซับซ้อน

ปัจจุบันกรมธนารักษ์ดำเนินการคัดเลือกเอกชนรายใหม่ ภายใต้กฎหมายที่ราชพัสดุ เนื่องจากเงื่อนไขโครงการไม่เข้าข่ายดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (พ.ร.บ.PPP) ที่ต้องมีมูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาทขึ้นไป

ทว่า ความวุ่นวายของเรื่องนี้อยู่ตรงที่มีการเปิดประมูล 2 รอบ ทำให้เกิดการฟ้องร้องว่ากระบวนการคัดเลือกอาจจะไม่ชอบหรือไม่

นอกจากนี้ ยังมีปมที่น่าสนใจก็คือ เดิมมีการเสนอราคาต่างกันมาก แต่รอบหลังเสนอผลตอบแทนที่จะให้กับรัฐออกมาใกล้เคียงกันหรือต่างกันไม่มาก ถ้ามีการตรวจสอบก็คงต้องเข้าไปดูว่าสาเหตุเกิดจากอะไร

ทั้งนี้ ทางกรมธนารักษ์ยืนยันว่า ดำเนินการทุกอย่างถูกต้องตามกรอบกฎหมาย และคำนึงถึงผลประโยชน์ของภาครัฐเป็นสำคัญ

ก่อนหน้านี้กรมก็ประกาศชัดเจนว่าจะเดินหน้าเซ็นสัญญากับ “บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด” ผู้ชนะประมูล เพราะกระบวนการคัดเลือกเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว โดยระบุว่า ผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นผู้ที่ให้ผลประโยชน์กับรัฐมากที่สุด

ก็ต้องบอกว่า การตัดสินใจเรื่องนี้หากมั่นใจว่ากระบวนการคัดเลือกต่าง ๆ ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีนอกมีใน แล้วก็มองประโยชน์ภาครัฐเป็นที่ตั้ง ก็ไม่น่าจะต้องกลัวอะไร สามารถเดินหน้าลุยไปได้ทันที

อย่างไรก็ดี เนื่องจากมีคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ที่เข้ามาตรวจสอบด้วย

ต่อมามีข่าวสะพัดว่า ผู้ใหญ่ในรัฐบาลสั่งชะลอการเซ็นสัญญาออกไปก่อน

และล่าสุดนายกรัฐมนตรีก็สั่งการให้กระทรวงการคลังตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความโปร่งใสการประมูลโครงการดังกล่าว

ทำให้ดูท่าแล้วเรื่องนี้อาจจะต้องใช้เวลาอีกพอสมควร และไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรพลิกผันอีกหรือไม่ ซึ่งต้องบอกว่าสามารถออกได้ทุกหน้า เพราะเวลานี้การเลือกตั้งก็งวดเข้ามา ขณะที่อธิบดีก็ใกล้เกษียณแล้ว เหลืออายุราชการอีกแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น


งานนี้ห้ามกะพริบตาเด็ดขาด