8 ผลกระทบ จากการขึ้นค่าจ้าง และค่าแรงขั้นต่ำ

คอลัมน์ เอชอาร์คอร์เนอร์ โดย ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ http://tamrongsakk.blogspot.com

เป็นที่ทราบกันแล้วนะครับว่าเราจะมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำกันทั้งหมด 7 อัตราโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 รอบเมษายน 2561 เป็นต้นไป (รายละเอียดหาดูได้ในกูเกิล)

แน่นอนว่าเมื่อมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ จะต้องมีผลกระทบตามมา แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่ว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำนั้นมากหรือน้อยแค่ไหน

ยกตัวอย่างเช่น ในการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเมื่อปี 2555 มีผลกระทบที่แรงมากที่สุด นับตั้งแต่ผมทำงานด้านบริหารค่าตอบแทนมากว่า 30 ปี ก็มีครั้งนี้แหละที่ปรับเพิ่มขึ้นมาถึง 40 เปอร์เซ็นต์

ส่วนในการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเมื่อ 1 มกราคม 2560 ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ และในปี 2561 นี้เรามีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแม้จะดูเผิน ๆ อาจจะมีเปอร์เซ็นต์ไม่สูงนักก็ตาม แต่จะมีผลกระทบกับบริษัทในบางเรื่องตามที่ผมจะได้อธิบายต่อไป

เรามาดูกันไหมครับว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำไม่ว่าในครั้งนี้ หรือครั้งไหนก็ตาม จะมีผลกระทบอะไรกับบริษัทของท่านบ้าง

1. ต้นทุนในการจ้างพนักงานเข้าใหม่ในอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้น เฉพาะต้นทุนเรื่องเงินเดือนเพียงอย่างเดียวจะสูงขึ้นจากเดิมประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ต่อคน แต่จะเพิ่มขึ้นรวมเป็นเงินเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทว่าจะรับพนักงานเข้าใหม่ (Un-skilled Labor) เข้ามากี่คน แต่ละบริษัทคำนวณกันเอาเองนะครับ

2. บริษัทต้องปรับเงินเดือนพนักงานเก่าที่ทำงานมาก่อน ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาคนเก่าเอาไว้ เช่น พนักงานที่เข้ามาเมื่อปีที่แล้วได้เงินเดือน 310 บาทได้ขึ้นเงินเดือน 5 เปอร์เซ็นต์ เงินเดือนปัจจุบัน 325 บาท จะเท่ากับค่าจ้างขั้นต่ำของพนักงานที่เข้ามาใหม่ที่ยังไม่รู้งานเลย แต่คนเก่าที่เข้ามาปีที่แล้วเขารู้งานแล้วแต่ถ้าไม่ปรับค่าจ้างให้คนเก่า อาจจะทำให้คนเก่าลาออก ซึ่งตรงนี้อยู่ที่บริษัทว่าจะปรับให้คนเก่าหรือไม่

ถ้าคิดว่าถ้าคนเก่าลาออกไปแล้วคนใหม่ทำแทนได้ โดยสอนงานไม่นานนักก็ทำได้ ก็ไม่ต้องปรับ แต่ถ้าคิดว่ามีผลกระทบ ต้องปรับเงินเดือนให้คนเก่า ส่วนจะปรับให้เท่าไหร่ วิธีไหนอย่างไร ต้องมาว่ากันในรายละเอียดของแต่ละบริษัทต่อไป แต่ที่แน่ ๆ คือต้นทุนการปรับเงินเดือนคนเก่าเพิ่มขึ้นแหง ๆ ครับ

3. บริษัทอาจจะต้องปรับอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิสำหรับพนักงานที่เพิ่งจบการศึกษาใหม่ เพื่อหนีผลกระทบของการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ทำให้ต้นทุนเงินเดือนเพิ่มขึ้นตามจำนวนอัตรากำลังที่จะรับพนักงานจบใหม่ในคุณวุฒิต่าง ๆ เข้าทำงาน เช่น ปวช., ปวส., ปริญญาตรี, ปริญญาโท ท่านลองดูตารางที่ผมทำมาข้างบนนี้สิครับจะได้เห็นภาพชัดขึ้น

จากภาพข้างต้นจะเห็นได้ว่าถ้าไม่ปรับอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิ ปวช. หรือ ปวส.คงจะมีปัญหาแหละ นี่ผมไม่ได้ปรับปริญญาตรีเพิ่มขึ้นนะครับ เพราะยังเห็นว่าเปอร์เซ็นต์ความห่างระหว่าง ปวส.ถึงปริญญาตรียังพอไหว แต่ถ้าบริษัทไหนจะปรับอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิปริญญาตรีเพิ่มขึ้น แน่นอนครับว่าจะมีต้นทุนในส่วนนี้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ตรงนี้ในรายละเอียดคงต้องกลับไปดูว่าบริษัทของท่านกำหนดอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิกันไว้เท่าไหร่กันบ้าง และควรจะปรับเพื่อหนีผลกระทบจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำดีหรือไม่

ตารางเปรียบเทียบ % การขึ้นเงินเดือนในบริษัท กับ % การเพิ่มของค่าจ้างนอกบริษัท

4. บริษัทต้องปรับเงินเดือนคนเก่าที่จบคุณวุฒิเดียวกัน และเข้ามาก่อน เช่น พนักงานจบ ปวช.เมื่อปี 2560 บริษัทรับเข้าทำงานในอัตรา 10,000 บาท ได้ขึ้นเงินเดือนประจำปีนี้ 5 เปอร์เซ็นต์ เงินเดือนใหม่ 10,500 บาท ซึ่งจะเท่ากับการรับพนักงานจบ ปวช.ใหม่ที่บริษัทปรับเพิ่มขึ้นในปีนี้ (สมมุติว่าบริษัทปรับอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิ ปวช.เข้าใหม่ให้เริ่มต้นที่ 10,500 บาท ปีที่แล้วเริ่มต้นที่ 10,000 บาท)

ถ้าไม่ปรับเพิ่มให้ อาจจะทำให้ลาออก ในขณะที่คนใหม่ยังไม่รู้งานอะไรเลย ซึ่งพนักงานเก่าที่รับเข้ามาก่อนหน้านี้ในคุณวุฒิอื่น ๆ ก็อยู่ในปัญหาเดียวกัน ดังนั้นถ้าบริษัทปรับเงินเดือนคนเก่าเหล่านี้ จะทำให้ต้นทุนการปรับเงินเดือนสูงขึ้นแหง ๆ อยู่แล้วครับ

5. เปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือนประจำปีของพนักงานจะลดลงเมื่อเทียบกับเปอร์เซ็นต์การเติบโตของค่าจ้างในตลาดภายนอกบริษัท ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาตามมาอีก 3 เรื่องคือ

5.1 บริษัทอาจจะต้องปรับเงินเดือนพนักงานที่เป็น talent หรือพนักงานที่มีความสามารถที่บริษัทเห็นว่าสำคัญเพื่อรักษา key position เหล่านี้เอาไว้

5.2 พนักงานที่ทำงานปานกลางถึงค่อนข้างดีอาจจะลาออก ถ้าพบว่าเงินเดือนของตัวเองถูกคนเข้าใหม่จี้หลังเข้ามามากเกินไป

5.3 พนักงานที่ยังไปไหนไม่ได้และยังจำเป็นต้องอยู่กับบริษัท จะเริ่มก่อหวอดเรียกร้องขอเงินเดือนเพิ่มจากฝ่ายบริหารเพื่อให้ท่านเห็นภาพที่ผมบอกมาชัดขึ้นผมเลยนำตารางมาให้ดูกันดังนี้ครับ

ภาพหนึ่งภาพแทนคำพูดเป็นร้อยคำ จากตารางข้างต้น ท่านจะเห็นได้ว่าถ้าในปีนี้บริษัทขึ้นเงินเดือนเฉลี่ย 5 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับพนักงานได้รับการขึ้นเงินเดือนจริงต่ำกว่าเปอร์เซ็นต์การปรับค่าจ้างขั้นต่ำ+เงินเฟ้อ ซึ่งเป็นอัตราเติบโตของค่าจ้างนอกบริษัท

6. จากข้อ 5 จึงอธิบายได้ว่าเมื่อมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ จะมีผลต่อเปอร์เซ็นต์การเติบโตของอัตราการจ้าง สำหรับตลาดภายนอกบริษัททุกครั้ง และจะทำให้เปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือนที่พนักงานจะได้รับมีแนวโน้มลดลง ส่วนจะมาก หรือน้อยเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์การปรับค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละครั้งว่ามากหรือน้อยแค่ไหน ซึ่งจะเกิดผลกระทบระหว่างเปอร์เซ็นต์การเติบโตของค่าจ้างภายนอกกับภายในบริษัทเช่นนี้อยู่เสมอ

7. มีแนวโน้มที่จะต้องปรับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานเพิ่มขึ้น ซึ่งตรงนี้จะขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์ความห่างระหว่างค่าจ้างขั้นต่ำกับค่าจ้างตามทักษะวิชาชีพ เช่นตอนนี้ค่าจ้างพนักงานประกอบอุปกรณ์ไฟฟ้าและแสงสว่างระดับ 1 จะได้วันละ 360 บาท ตอนนี้จะห่างจากค่าจ้างขั้นต่ำใน กทม. (325 บาท) อยู่ 10.8 เปอร์เซ็นต์

ถ้ามีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำครั้งต่อไปแล้วมีเปอร์เซ็นต์ความห่างลดลงมากกว่านี้ ก็มีแนวโน้มที่จะต้องมีประกาศปรับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน จะทำให้ตลาดจะมีการปรับค่าจ้างเงินเดือนในตำแหน่งงานต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้น และบริษัทจะต้องจ่ายค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานเพิ่มขึ้นตามประกาศของกระทรวงแรงงาน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของบริษัทในส่วนนี้เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

8. อาจจะต้องมีการ update โครงสร้างเงินเดือนใหม่ ถ้าพบว่าค่าจ้างในตลาดในตำแหน่งงานต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะถ้าไม่ update โครงสร้างเงินเดือนของบริษัท จะจ่ายต่ำกว่าตลาดแข่งขัน (under paid) ซึ่งจะกระทบกับความสามารถในการรักษาคนในและจูงใจคนนอกเข้ามาร่วมงานกับบริษัทในที่สุด

ทั้งหมดที่บอกมานี้คือสิ่งที่ผมนึกออกในตอนนี้ว่าถ้ามีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ (ไม่ว่าจะครั้งไหนก็ตาม) จะมีผลกระทบอะไรกับบริษัทบ้าง จึงเอาเรื่องเหล่านี้มาแชร์ให้กับคนที่เป็น compensation manager หรือคนที่เกี่ยวข้องจะได้นำมาคิด วิเคราะห์ และวางแผนเพื่อรับมือกับผลกระทบในแต่ละด้านเพื่อนำเสนอแนวทางแก้ไขให้กับฝ่ายบริหารได้ทันท่วงที

หวังว่าเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่านที่เกี่ยวข้องในการรับมือกับการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในรอบนี้นะครับ