ลงเวลาแทนกัน ไม่จ่ายค่าชดเชยได้หรือไม่ ?

ค่าจ้าง-เงินกู้
แฟ้มภาพ
คอลัมน์ เอชอาร์คอร์เนอร์
ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ https://tamrongsakk.blogspot.com

เรื่องนี้ผมว่าหลายบริษัทมีการเขียนไว้ในข้อบังคับการทำงาน หรือเป็นกฎระเบียบของบริษัทเอาไว้เพื่อป้องปรามไม่ให้พนักงานลงเวลาแทนกันและมักจะระบุเอาไว้ว่าการกระทำแบบนี้ ถือเป็นการทุจริต เป็นความผิดร้ายแรงที่บริษัทสามารถเลิกจ้างได้ทันทีโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยใด ๆ ทั้งสิ้น

คำถามคือถ้าบริษัทจับได้ว่าพนักงานลงเวลาแทนกันปุ๊บ สามารถเลิกจ้างปั๊บแล้วไม่จ่ายค่าชดเชย โดยอ้างว่าพนักงานฝ่าฝืนกฎระเบียบคำสั่งของบริษัท หรืออ้างข้อ 4 มาตรา 119 ของกฎหมายแรงงานคือ “4.ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรงนายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน…” ได้หรือไม่ ?

ผมยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้นดีไหมครับ ?

น.ส. A จะไปติดต่อลูกค้านอกบริษัทในช่วงบ่ายก็รู้ว่ารถติดมาก คงกลับมารูดบัตรออกตอนเย็นที่บริษัทไม่ทันแหง ๆ แถมบริษัทลูกค้าที่จะไปติดต่อก็อยู่ทางเดียวกับบ้าน น.ส. A จะย้อนไปย้อนมาทำไม

น.ส. A ก็เลยฝากบัตรไว้ที่ น.ส. B เพื่อนซี้ให้ช่วยรูดบัตรตอนเย็นแทนให้ที เพราะฉันจะไปติดต่องานกับลูกค้าแล้วจะเลยกลับบ้านไปเลย น.ส. Bก็จัดการรูดบัตรแทนให้ น.ส. A

ปรากฏว่า รปภ.เห็นว่า น.ส. B รูดบัตรแทนให้เพื่อนก็เลยแจ้งมาที่ฝ่ายบุคคล และหัวหน้าของ น.ส. A และ B ทั้งฝ่ายบุคคล และหัวหน้าของ น.ส. A และ B ก็เรียกทั้ง 2 คนมาสอบถาม แล้วทั้ง 2 คนก็เล่าไปตามที่ผมบอกมาข้างต้น พร้อมทั้งบอกว่าตัวเองไม่ได้ทุจริตสักหน่อย

แต่ฝ่ายบุคคลและหัวหน้าของทั้ง 2 คนก็มีข้อสรุปตรงกันว่าทั้งน.ส. A และ B ทำผิดกฎระเบียบและทุจริตต่อหน้าที่ ด้วยการรูดบัตรลงเวลาแทนกันถือเป็นความผิดร้ายแรงก็เลยทำเรื่องไปถึงกรรมการผู้จัดการ ทำหนังสือเลิกจ้างทั้ง 2 คนโดยไม่จ่ายค่าชดเชยใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะทั้ง 2 คนทำผิดร้ายแรงเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับพนักงานคนอื่น

ผมว่าทั้งผู้บริหารและ HR หลายคนคงคิดว่าบริษัทจะสามารถเลิกจ้าง น.ส. A และ B โดยไม่จ่ายค่าชดเชยได้แน่นอนใช่ไหมครับ ?

ลองดูคำพิพากษาศาลฎีกานี้ดูสิครับ

ฎ.3095/2537 “การตอกบัตรแทนกันช่วงเลิกงานไม่ได้ค่าจ้างเพิ่ม นายจ้างไม่เสียหาย แต่เป็นการผิดข้อบังคับการทำงานเท่านั้น ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง”

จากกรณีข้างต้นเมื่อดูข้อเท็จจริงแล้ว ถามว่าพนักงานทั้ง 2 คน มีความผิดในเรื่องรูดบัตรแทนกันไหม ก็ตอบได้ว่า “ผิด” ครับ แต่ความผิดนี้“ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง” เพราะไม่ได้เป็นการทุจริตน่ะสิครับ

ถ้าเลิกจ้างบริษัทก็ต้องจ่ายค่าชดเชย เพราะจากคำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้น ศาลท่านดูตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นประกอบกันด้วย แม้บริษัทจะอ้างว่าในกฎระเบียบของบริษัทบอกว่าการลงเวลาแทนกันถือเป็นการทุจริต แต่ในข้อเท็จจริงทั้ง 2 คน ไม่ได้ทุจริตนี่ครับ

ดังนั้น ในกรณีนี้สิ่งที่บริษัทควรทำคือ บริษัทควรออกหนังสือตักเตือนพนักงานทั้ง 2 คนว่า ห้ามรูดบัตรลงเวลาแทนกันอีก ถ้ารูดบัตรแทนกันอีก บริษัทจะเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย เพราะบริษัทได้เคยตักเตือนในเรื่องนี้ไว้แล้ว แล้วถ้าพบว่ามีการฝ่าฝืนผิดซ้ำคำเตือนนี้อีก บริษัทก็สามารถเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยครับ

แล้วแบบไหนล่ะที่บริษัทสามารถเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยในกรณีที่พนักงานลงเวลาแทนกันโดยเข้าข่ายทุจริต ?

ก็เช่นบริษัทสั่งให้ น.ส. A ทำงานล่วงเวลาตั้งแต่ 17.00-22.00 น. แต่พอถึงเวลาทำโอที น.ส. A กลับแวบไปดูหนังกับแฟนแล้วก็กลับบ้านไปเลยโดยไม่ได้มาทำโอที แล้วฝากบัตรให้ น.ส. B ช่วยรูดบัตรแทนให้ด้วย แล้วเอาค่าโอทีมาแบ่งกัน

อย่างนี้แหละครับเข้าข่ายทุจริตเพราะรับเงินค่าโอทีของบริษัทไปแล้ว แต่ไม่ได้ทำงานให้บริษัทจริง แถมยังเอาเงินค่าโอทีมาติดสินบนเพื่อนให้รูดบัตรกลับบ้านแทนเสียอีก พฤติการณ์แบบนี้แหละครับถึงจะเข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่ และบริษัทสามารถเลิกจ้างทั้ง 2 คนได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงาน

ประเด็นหลักที่สำคัญในเรื่องนี้ก็คือ ให้ดูที่ข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร และข้อเท็จจริงนั้นเข้าข่ายทุจริตเป็นความผิดร้ายแรงจริงหรือไม่

ถึงตรงนี้ เชื่อว่าท่านจะจับหลักได้แล้ว และสามารถจัดการเกี่ยวกับการลงเวลาแทนกันได้อย่างถูกต้องแล้วนะครับ

ถ้าใครอยากรับฟังทางเสียงก็ฟังเรื่องนี้ทางพอดแคสต์ https://tamrongs.podbean.com นะครับ