“ฟิลลิป มอร์ริส” ปรับโฉมองค์กร ส่งเสริมความหลากหลาย LGBTQ+ ให้พนักงานเลือกรูปแบบการทำงานและสวัสดิการตามความต้องการ
เดือนมิถุนายนถือเป็น Pride Month หรือเดือนแห่งสัญลักษณ์การต่อสู้ของกลุ่ม LGBTQ+ เพื่อเรียกร้องความเท่าเทียม และขอให้สังคมเปิดกว้างยอมรับความหลากหลายทางเพศสภาพ ขณะเดียวกัน หลาย ๆ องค์กรได้ออกมาแสดงจุดยืนในการสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศและความหลากหลายในที่ทำงาน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าเสียงของทุกคนมีความสำคัญและได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาค
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
สำหรับ “ฟิลลิป มอร์ริส ประเทศไทย” บริษัทในเครือของฟิลลิป มอร์ริส อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ (PMI หรือพีเอ็มไอ) และเป็นผู้นำในธุรกิจนำเข้าผลิตภัณฑ์ยาสูบจากต่างประเทศ กำลังปรับโฉมธุรกิจและแนวทางการทำงาน โดยให้ความสำคัญกับความหลากหลายและการมีส่วนร่วม (diversity & inclusion) และให้พนักงานได้มีโอกาสเลือกรูปแบบการทำงานและสวัสดิการ หรือสิทธิประโยชน์ที่หลากหลายตามความต้องการ ถือว่าเป็นการปรับโฉมการดำเนินธุรกิจในทุกมิติ
การเปลี่ยนแปลงในองค์กรครั้งสำคัญนี้จะช่วยส่งเสริมวิสัยทัศน์ในการสร้างสังคมไร้ควัน (Smoke-Free Future) โดยบริษัทตั้งเป้าจะ “ยุติการผลิตและจำหน่ายบุหรี่” และจะนำผลิตภัณฑ์ “ไร้ควัน” ซึ่งมีความเสี่ยงต่อสุขภาพน้อยกว่าการสูบบุหรี่มาเป็นทางเลือก
การเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจครั้งสำคัญและการดิสรัปต์ (disrupt) ธุรกิจครั้งนี้ นับว่ามีความท้าทายและมีอุปสรรคจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องอาศัยการทำงานแบบมีส่วนร่วมของคนในองค์กร รับฟังทุกความเห็นต่างจากทุกคน ไม่ว่าจะเป็นต่างเชื้อชาติ อายุ ศาสนา เพศสภาพ หรือความสามารถที่ต่างกัน ซึ่งจะช่วยให้องค์กรได้เห็นตัวตนและพลังงานความคิดสร้างสรรค์อันเปี่ยมล้น ที่ถูกปลดปล่อยออกมาด้วยความภาคภูมิใจกับวิถีของความหลากหลายของคนในองค์กร
“เจอรัลด์ มาร์โกลิส” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส เทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า diversity & inclusion) ไม่ใช่แค่เรื่องที่ควรทำ แต่เป็นหัวใจสำคัญของการปฏิวัติธุรกิจที่จะดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถและมีความคิดสร้างสรรค์มาสู่องค์กร และร่วมสนับสนุนวิสัยทัศน์ในการเปลี่ยนแปลง ก้าวไปสู่การสร้างสังคมไร้ควัน ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของฟิลลิป มอร์ริส ในการมุ่งมั่นทำงานเพื่อสะท้อนความต้องการที่หลากหลายของผู้คนในสังคมปัจจุบัน
“เราต้องการสนับสนุนความหลากหลายในทุกมิติ ให้ความสำคัญกับการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันในองค์กร เข้าใจและเคารพในความแตกต่าง เพื่อให้พนักงานของเราทำงานได้เต็มศักยภาพโดยไม่ต้องคำนึงว่าแต่ละคนมีพื้นฐานมาอย่างไร”
ในปี 2019 ฟิลลิป มอร์ลิสได้รับการรับรองโดย Equal Salary Foundation ให้เป็นบริษัทที่จ่ายค่าตอบแทนพนักงานทุกระดับ ทุกเพศวัยอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งถือเป็นก้าวแรกที่ดีในการสร้างรากฐานเรื่องการสร้างความเท่าเทียม อีกทั้งยังได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดในปี 2020 เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถรักษามาตรฐานที่ได้รับการรับรองได้
“มาร์โกลิส” กล่าวด้วยว่า ได้ต่อยอดสวัสดิการที่ยืดหยุ่น (flexible benefit) ที่พนักงานทุกคนมีโอกาสได้ใช้ประโยชน์ตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล เช่น การลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรแบบใหม่ที่เน้นที่ “คนที่เลี้ยงดูครอบครัว” มากกว่าการเหมารวมทางเพศของ “ผู้หญิงที่มีลูก”
การขยายสวัสดิการด้านสุขภาพที่ครอบคลุมไปยังคู่ชีวิต โดยไม่จำกัดว่าเป็นเพศใด รวมทั้งยังให้ความสำคัญกับความแตกต่างของวัฒนธรรมในแต่ประเทศไทย ซึ่งสำหรับในประเทศ บริษัทมีนโยบายให้โควตาวันลาอุปสมบทสำหรับพนักงานทุกเพศ ไม่จำกัดแค่เพศชาย
นอกจากนี้ ฟิลลิป มอร์ริส อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทแม่ของฟิลลิป มอร์ริส ประเทศไทย ยังได้เปิดตัวโครงการ Inclusive Future เพื่อตอกย้ำพันธกิจการสร้างความมีส่วนร่วมในองค์กร โดยได้ร่วมมือกับสถาบันพัฒนาการบริหารจัดการ Management Development (IMD) ในเมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อศึกษาแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการสร้างความมีส่วนร่วมในปี 2021 ทั้งในภาคธุรกิจและภาคประชาสังคม ซึ่งรวมทั้งกลุ่มพนักงาน LGBTQ+
“ศศิธร วงษ์เขียว” ผู้จัดการฝ่ายขายประจำภูมิภาค บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส เทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า โดยทั่วไปงานของฝ่ายขายจะเปิดรับพนักงานผู้ชายเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากลักษณะงานที่ต้องเดินทางไปพักแรมในจังหวัดต่าง ๆ ต้องขับรถเป็นระยะทางไกล ๆ ต้องยกของหนักบางครั้ง แต่ฟิลลิป มอร์ริส มองข้ามปัจจัยด้านเพศสภาพ และพิจารณาด้านทัศนคติและความสามารถที่เหมาะสม
“ทำให้สามารถเข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้ได้ และตลอดเวลา 16 ปีที่ทำงานกับบริษัทได้โอกาสพิสูจน์ตัวเองว่าเพศสภาพไม่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างผลงานที่ดีแต่อย่างใด เราจึงมีโอกาสไต่เต้าเติบโตจากการเป็นผู้แทนขายขึ้นมาเป็นผู้จัดการประจำภูมิภาคได้”
ทั้งยังได้เป็นคนแรกของบริษัทเลยที่มีโอกาสใช้สวัสดิการให้กับคู่ชีวิต และได้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นร่วมกับเครือข่ายพนักงานจาก 23 ประเทศทั่วโลก เพื่อนำความคิดริเริ่มในการรวมกลุ่มพนักงาน LGBTQ+ ได้รับความเข้าใจและปฏิบัติอย่างเท่าเทียมจากเพื่อนร่วมงานมาโดยตลอด ทำให้เราสามารถเป็นตัวเอง เคารพความแตกต่างและเข้าใจกัน เกิดความผูกพันและร่วมมือเพื่อผลักดันให้ทีมและบริษัทบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้