กลุ่มแรงงานยื่น 9 ข้อเสนอแก้ประกันสังคม ทวงเงินรัฐค้างสมทบ 6 หมื่นล้านบาท

ประกันสังคม

คสรท. และ สรส.ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ เสนอแก้ปัญหาระบบประกันสังคมแบบยั่งยืน สร้างหลักประกัน เพิ่มรายได้ สร้างอาชีพ พร้อมทวงเงินสมทบที่รัฐค้างจ่ายเข้ากองทุน 60,000 ล้านบาท

วันที่ 12 มิถุนายน 2565 ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ร่วมกับสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงวันที่ 5 มิถุนายน 2565 เพื่อยื่นข้อเสนอสำหรับการประกันสังคมที่ยั่งยืน

เนื้อหาจดหมายระบุว่า นับตั้งแต่มีพระราชบัญญัติประกันสังคมซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2533 จนถึงปัจจุบัน เป้าหมายของประกันสังคม คือการสร้างหลักประกันในการดำรงชีวิตในกลุ่มของสมาชิกที่มีรายได้และจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเพื่อรับผิดชอบเฉลี่ยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

โดยได้รับทดแทนเมื่อประสบอันตราย หรือจากการเจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือตาย คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และการว่างงาน เพื่อให้ได้รับการรักษาพยาบาล และมีการทดแทนรายได้ ซึ่งการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมในระยะแรกเป็นลักษณะร่วมกันจ่ายในสัดส่วนที่เท่ากันในอัตราร้อยละ 5 ระหว่าง ผู้ประกอบการ คนทำงาน และรัฐ โดยกำหนดค่าจ้างสูงสุดในการคำนวณจ่ายเงินสมทบรายเดือนอยู่ที่ 15,000 บาท

รัฐค้างสมทบเกือบ 1 แสนล้านบาท

คสรท. และ สรส. ระบุว่า ภายหลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 รัฐบาลได้มีการแก้ไขกฎหมายโดยลดสัดส่วนของรัฐลงเหลือ ร้อยละ 2.75 ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาเกือบ 20 ปีที่รัฐค้างจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเกือบ 1 แสนล้านบาท เป็นเหตุให้กองทุนประสบปัญหาในเรื่องการเติบโต ขาดโอกาสในการนำเงินไปลงทุนเพื่อหาประโยชน์ และทำให้กระทบถึงสิทธิผู้ประกันตนที่จะเพิ่มผลประโยชน์ในแต่ละกองทุนไปด้วย

ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบทั้งในส่วนของผู้ประกอบการ
ที่ต้องปรับลดขนาดลง บางแห่งต้องปิดกิจการส่งผลกระทบต่อคนทำงานที่อยู่ในระบบประกันสังคม แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามแก้ไขปัญหาด้วยการจัดทำโครงการต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน

ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี แต่การแก้ปัญหาก็เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ บางคนก็เข้าไม่ถึงมาตรการช่วยเหลือด้วยเงื่อนไขบางประการ แต่อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือผ่านโครงการต่าง ๆ รัฐบาลล้วนต้องกู้เงินจำนวนมหาศาลมาช่วยเหลือประชาชน ซึ่งส่งผลต่อภาพรวมของหนี้สาธารณะที่ประชาชนต้องร่วมกันชดใช้

เช่นเดียวกับการช่วยเหลือผู้ประกอบการและผู้ประกันตนเพื่อให้กิจการและการทำงานดำเนินต่อไปได้ รัฐบาลจึงได้มีมาตรการลดการจ่ายเงินสมทบของผู้ประกอบการและผู้ประกันตนลงมา อาจเป็นผลดีกับผู้ประกอบการที่จะนำจ่ายเงินสมทบน้อยลง แต่ก็ไม่เป็นผลดีต่อผู้ประกันตนและระบบประกันสังคมในระยะยาว

แก้ไข พ.ร.บ.ประกันสังคมล่าสุด

ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2565 มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 ซึ่งรายละเอียดดังนี้

1) การขยายความคุ้มครองให้กับผู้ประกันตนเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยขยายอายุขั้นสูงของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ให้ผู้รับเงินบำนาญชราภาพสามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนได้ ให้ผู้รับเงินบำนาญชราภาพสามารถขอรับเงินบำนาญจ่ายล่วงหน้าได้

2) การแก้ไขเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพอันเกิดจากข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ใช้แรงงาน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประกันตน โดยกำหนดให้ผู้ประกันตนสามารถเลือกรับเงินบำเหน็จหรือเงินบำนาญชราภาพได้ (ขอเลือก)

ในกรณีเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สาธารณภัย หรือเหตุการณ์อื่นใดอันส่งผลกระทบต่อผู้ประกันตน ก็สามารถนำเงินสะสมกรณีชราภาพบางส่วนออกมาใช้ก่อนได้ (ขอคืน) และการนำเงินสะสมกรณีชราภาพไปเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงินได้ (ขอกู้)

3) การแก้ไขเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ได้แก่ เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร จากเดิมจ่าย 90 วัน เป็น 98 วัน เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ จากเดิมจ่ายร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 70 กรณีสงเคราะห์บุตรให้ได้รับการคุ้มครองต่อไปอีก 6 เดือน นับแต่วันที่สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน

4) ปรับปรุงเงื่อนไขในการสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และกำหนดให้เงินเพิ่มของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จะต้องไม่เกินเงินสมทบที่ต้องจ่าย

5) แก้ไขเพิ่มเติมในส่วนของบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการ ทั้งในส่วนของการได้มาซึ่งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตน การกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม วาระการดำรงตำแหน่งเพิ่มเติมอำนาจของคณะกรรมการในการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ รวมทั้งการบริหารจัดการพนักงานและลูกจ้าง

6) การแก้ไขมาตรการการลงโทษทางอาญาแก่นายจ้าง เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะความผิดที่นายจ้างมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย

เอาเงินออมอนาคตผู้ประกันตนออกมาใช้

คสรท. และสรส. ระบุด้วยว่า หากดูการเปลี่ยนแปลงแก้ไข พ.ร.บ.ประกันสังคมในภาพรวมก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ประเด็นที่ถกเถียงกันมากในสังคมซึ่งบางกลุ่มเห็นด้วยบางกลุ่มไม่เห็นด้วย คือ

ในกรณีเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สาธารณภัย หรือเหตุการณ์อื่นใดอันส่งผลกระทบต่อผู้ประกันตน ก็สามารถนำเงินสะสมกรณีชราภาพบางส่วนออกมาใช้ก่อนได้ (ขอคืน) และการนำเงินสะสมกรณีชราภาพไปเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงินได้ (ขอกู้)

ซึ่งในส่วนกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยมองว่าจะทำให้เกิดปัญหาความไม่มั่นคงของกองทุนในระยะยาว เมื่อนำเงินออกมาใช้ก่อนแล้วทำให้จำนวนเงินในกองทุนลดลง ทำให้ขาดโอกาสในการนำเงินไปลงทุนหาประโยชน์ รวมไปถึงอนาคตของผู้ประกันตนเอง เงินชราภาพที่ได้รับหลังเกษียณนั้นมีจำนวนน้อยมากอยู่แล้ว หากนำเงินมาใช้ก่อนแล้วชีวิตบั้นปลายจะอยู่อย่างไร

และการนำเงินสะสมกรณีชราภาพไปเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงินได้นั้น หากบริหารเงินผิดพลาดก็จะส่งผลต่อตนเองและกองทุนด้วยเช่นกัน และวิเคราะห์กันว่าในประเด็นขอกู้ขอคืนนั้นมาจากที่คนงานได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น และไม่มีเงินเพียงพอที่จะยังชีพ หรือเกิดภาวะตกงานต้องการสร้างอาชีพแต่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินได้ จึงพยายามหาวิธีการเอาเงินอนาคตมาใช้ในปัจจุบัน

ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ในสิ่งที่ควรจะเป็น คือ รัฐบาลต้องทำหน้าที่ในการสร้างหลักประกัน เพิ่มรายได้ สร้างอาชีพให้แก่ประชาชน คุ้มครองการจ้างงานให้กับคนทำงาน เหมือนกับที่รัฐบาลได้สร้างหลักประกัน ลดรายจ่ายให้ผู้ประกอบการไปแล้วก่อนหน้านี้ และรัฐบาลต้องลดรายจ่ายค่าครองชีพของประชาชนลง ไม่ใช่มาเอาเงินออมในอนาคตของผู้ประกันตนออกมาใช้ในปัจจุบัน ซึ่งก็จะส่งผลกระทบในระยะยาวต่อกองทุนประกันสังคมและผู้ประกันตนเอง

9 ข้อเสนอแก้ไขระบบประกันสังคม

ทั้งนี้ คสรท. และ สรส.ได้ประชุมร่วมกัน และมีข้อเสนอต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาของระบบประกันสังคมและผู้ประกันตนเพื่อความยั่งยืนดังที่เคยเสนอมาแล้วหลายครั้ง ดังนี้

1. ต้องปฏิรูปโครงสร้างการบริหารงานสำนักงานประกันสังคมให้เป็นอิสระ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และให้ผู้ประกันตนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

2. รัฐต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมในสัดส่วนที่เท่ากัน ระหว่างรัฐ นายจ้าง ลูกจ้าง ตามหลักการของ พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 และรัฐต้องนำส่งเงินสมทบที่ค้างจ่ายให้ครบตามจำนวนพร้อมดอกเบี้ย เพื่อประโยชน์ของกองทุนประกันสังคมและผู้ประกันตน ซึ่งปัจจุบันรัฐค้างจ่ายสมทบประมาณ 60,000 ล้านบาท

3. ต้องเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนมาตรา 40 ให้เท่ากับมาตรา 33

4. ต้องเปลี่ยนหลักเกณฑ์การคำนวณเงินสิทธิประโยชน์ชราภาพใหม่จากเดิม 20 เปอร์เซ็นต์ของฐานเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย เป็น 50 เปอร์เซ็นต์ของฐานเงินเดือนเดือนสุดท้าย

5. รัฐต้องจัดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการประกันสังคมชุดใหม่แทนชุดเก่าที่หมดวาระโดยเร็ว ซึ่งสามารถทำได้ทันทีตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 (แก้ไขฉบับที่ 4 พ.ศ. 2558)

6. ให้ขยายกรอบเวลาและเข้าถึงสิทธิประโยชน์ของประกันสังคมและเงินทดแทน จนสิ้นสุดการรักษาตามคำวินิจฉัยของแพทย์โดยไม่มีข้อจำกัด

7. ให้เพิ่มอัตราค่าจ้างสูงสุดในการคำนวณการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมจาก 15,000 บาท เป็น 30,000 บาท

8. ต้องเร่งจัดตั้งธนาคารแรงงานหรือสถาบันการเงินของคนงาน ตามกรอบของคณะทำงานประกันสังคมเห็นชอบแล้ว เพื่อทำหน้าที่เป็นแหล่งเงินทุนให้แก่ผู้ประกันตนในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และการออมเงิน

9. เร่งจัดตั้งสถาบันการแพทย์ พยาบาล และโรงพยาบาลของประกันสังคม ทำหน้าที่ในการป้องกัน รักษา ฟื้นฟูร่างกาย สุขภาพ และวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวข้องจากการทำงาน เพื่อสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน และบริการประชาชนทั่วไป ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่ยั่งยืนและเป็นหลักประกันในเรื่องสุขภาพ