ไทยลีฟ แปรรูป “กัญชง” โอกาสของ พืชเศรษฐกิจใหม่

ต้นกัญชง

ไทยลีฟ ไบโอเทคโนโลยี” เล็งเห็นความสำคัญและโอกาสของพืชเศรษฐกิจใหม่อย่างกัญชง เตรียมผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัด CBD 3 กลุ่มแรก ได้แก่ เครื่องดื่ม-อาหารเสริม-เวชสำอาง ในปี 2566 พร้อมตั้งเป้ากินส่วนแบ่งทางการตลาด 10%

นายยิ่งยศ จารุบุษปายน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด เปิดเผยว่า จากการศึกษากัญชงมาตั้งแต่ปี 2562 พบแนวโน้มการเติบโตของตลาดกัญชงโลกที่มีโอกาสไปได้ไกลในอนาคตอย่างชัดเจน โดยปัจจัยที่ไทยลีฟเล็งเห็นคือ 1.สารสกัด CBD ของกัญชงพัฒนาใช้งานได้หลายด้าน โดยเฉพาะกลุ่ม health care & wellness

ยิ่งยศ จารุบุษปายน
ยิ่งยศ จารุบุษปายน

2.กฎหมายรองรับที่ชัดเจน จากการที่ภาครัฐในหลาย ๆ ประเทศเล็งเห็นประสิทธิภาพการใช้งานในวงการแพทย์ รวมถึงการนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสารเสพติด

และ 3.โอกาสของไทยในระดับมหภาค ปัจจุบันต่างประเทศกำลังจับตามองประเทศไทย เนื่องจากไทยเปิดตลาดกัญชงเสรีมาแล้วร่วมปี ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาประชากรในฝั่งอาเซียนทั้งหมดที่มีราว 650 ล้านคน ซึ่งรวมกันแล้วใหญ่กว่าอเมริกา 3 เท่า ยิ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มตลาดกัญชงไทยจะเติบโตไปได้อีกในหลายประเทศ เช่น ลาว กัมพูชา สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม

รวมถึงหากปี 2566 ภาครัฐไทยมีการออกข้อกฎหมายรองรับสาร CBD จากกัญชง ระบุสิ่งที่ทำได้-ทำไม่ได้ที่ชัดเจน พร้อมประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ถูกต้องอย่างจริงจัง จะยิ่งทำให้ตลาดกัญชงในไทยเติบโตเร็วยิ่งขึ้น

ปัจจัยดังกล่าวตอกย้ำการพัฒนาธุรกิจของไทยลีฟในการเป็น one stop service ซึ่งขณะนี้ไทยลีฟมีการผนึกพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ ตั้งแต่การนำเข้าเมล็ดพันธุ์ การปลูก และการสกัด

ความพิเศษคือไทยลีฟเป็นบริษัทเดียวในเอเชียที่ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ top 3 มหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริกา ที่มีการวิจัยสายพันธุ์และเมล็ดพันธุ์กัญชงมากว่า 30 ปี ทั้งยังส่งผู้เชี่ยวชาญมาประจำการร่วมวิจัยกับไทยลีฟ

สำหรับเมล็ดพันธุ์กัญชงที่ไทยลีฟร่วมพัฒนาและนำเข้าจะมีความโดดเด่นด้วยค่าสาร CBD (Cannabidiol) สารในกลุ่มคานนาบินอยด์ (Cannabinoids) ที่มีประโยชน์ทางการแพทย์อยู่ที่ร้อยละ 25-26 ทำให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ยาวนาน แตกต่างจากกัญชงสายพันธุ์ไทยที่มีค่าสาร CBD เพียงร้อยละ 4 เป็นกัญชงที่ให้เส้นใยเหมาะในการไปทำเครื่องนุ่งห่มมากกว่า

ทั้งนี้ ในอนาคตไทยลีฟตั้งใจจะเป็นผู้พัฒนาสายพันธุ์กัญชงสัญชาติไทยที่มีคุณภาพเทียบเท่าต่างประเทศ พร้อมจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อจัดจำหน่ายให้แก่เกษตรกรไทยในราคาที่ย่อมเยา ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหานำเข้าเมล็ดพันธุ์ที่มีค่าใช้จ่ายสูง

นายยิ่งยศกล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนการทำผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัด CBD จากกัญชง ปัจจุบันไทยลีฟมีสูตรผลิตภัณฑ์ที่พร้อมพัฒนาทันทีกว่า 1,000 สูตร มีการจดลิขสิทธิ์และขึ้นทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาแล้วในสหรัฐอเมริกา และมีการทำผลิตภัณฑ์ออกมาจำหน่ายแล้วที่แคลิฟอร์เนีย รวมถึงยุโรป

“ในปีแรก ไทยลีฟจะร่วมกับพาร์ตเนอร์นำสารสกัด CBD มาผลิตสินค้ากลุ่มเครื่องดื่ม เวชสำอาง และอาหารเสริม หลังจากนั้นจะผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยา ซึ่งปัจจุบันมีสูตรยาที่มีกัญชงเป็นสารประกอบราว 40 ชนิด โดยเฉพาะโรคนอนไม่หลับ โรคพาร์กินสัน และอาการปวดข้อเข่า

ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จช่วงไตรมาส 4/2565 หรือประมาณต้นปี 2566 โดยมูลค่าการลงทุนที่ผ่านมาอยู่ที่ 250 ล้านบาท ใช้ในการสร้างโรงงาน รวมถึงปลูกกัญชง ทั้งนี้ ในระยะแรกใช้พื้นที่ในการปลูก 50 ไร่ จากพื้นที่โรงงานทั้งหมด 6,000 ตารางเมตร ที่ตั้งโรงงานอยู่ที่จังหวัดนครนายก” นายยิ่งยศกล่าว

การเติบโตของตลาด CBD จากกัญชงทั่วโลกในอีก 5 ปี หรือราวปี 2570 จะมีมูลค่าสูงถึง 1.86 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูลจาก www.theshelbyreport.com) ส่วนในประเทศไทยปีแรกคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ราว 3,800-7,200 ล้านบาท ยิ่งหากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน จะยิ่งช่วยยกระดับให้กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่แห่งอนาคตได้รวดเร็วและเชื่อว่าไปได้ไกลกว่ากัญชาแน่นอน

ทั้งนี้ ไทยลีฟวางเป้าหมายส่วนแบ่งทางการตลาดไว้ที่ร้อยละ 10 แต่เมื่อรัฐบาลมีการประกาศข้อกำหนดต่าง ๆ ชัดเจนขึ้น ก็มั่นใจว่าไทยลีฟจะขยายไปยังตลาดต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และเป็นหนึ่งในผู้นำของตลาดฟาร์มาซูติคอลที่มีกัญชงเป็นส่วนประกอบของเอเชียอย่างแน่นอน