ทำความรู้จัก อังกะลุง เครื่องดนตรีมรดกโลก ปี 2553 แค่เพียงเขย่าก็เกิดเสียงไพเราะ
ย้อนกลับไปวันนี้เมื่อ 12 ปีที่แล้ว (16 พฤศจิกายน 2553) องค์การยูเนสโก (UNESCO) ประกาศให้ “อังกะลุง” เครื่องดนตรีสัญชาติชวา เป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการ
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
และในวันนี้ (16 พฤศจิกายน 2565) กูเกิล ได้ทำการเปลี่ยนรูป Doodle ใหม่ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับอังกะลุง เครื่องดนตรีจากไม้ไผ่ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในวันดังกล่าว
“ประชาชาติธุรกิจ” ร่วมเฉลิมฉลองในวันเฉลิมฉลองอังกะลุง ด้วยการพาไปรู้จักเครื่องดนตรีชนิดนี้ให้มากขึ้น
อังกะลุง คืออะไร?
อังกะลุง เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งของไทย ที่รับเอาแบบอย่างมาจากเครื่องดนตรีจากประเทศอินโดนีเซียที่เรียกว่า อุงคะลุง อังกะลุงทำขึ้นจากไม้ไผ่ จัดอยู่ในประเภทเครื่องตี ที่เกิดจากการเขย่าเพื่อให้กระบอกไปกระทบกับรางไม้ เกิดเป็นโทนเสียงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อังกะลุงจึงเป็นเครื่องดนตรีที่มีความแตกต่างจากเครื่องดนตรีประเภทอื่นที่ไม่สามารถบรรเลงเป็นเพลงในตัวเองได้ ต้องเล่นกันเป็นวงสลับการเขย่ากระบอกอังกะลุงแต่ละตัวตามจังหวะของตัวโน้ตนั้น ๆ
ขณะที่ต้นกำเนิดของดนตรีดังกล่าว มาจากชาวซุนดาในบริเวณที่เป็นจังหวัดชวาตะวันตกและจังหวัดบันเตินของประเทศอินโดนีเซียปัจจุบัน โดยชาวซุนดาเป็นผู้เล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้มานานหลายศตวรรษ อังกะลุงและดนตรีอังกะลุงได้กลายเป็นส่วนสำคัญของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของประชาคมชาวซุนดาในชวาตะวันตกและบันเติน การเล่นอังกะลุงในฐานะวงดุริยางค์ต้องอาศัยความร่วมมือและการประสานงานกัน เชื่อกันว่าจะส่งเสริมคุณค่าของการทำงานเป็นทีม การเคารพซึ่งกันและกัน และความกลมกลืนในสังคม
อังกะลุง กับส่วนหนึ่งของดนตรีไทย
ย้อนกลับไปในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ทรงแนะนำและอนุญาตให้สมเด็จเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าพระยาภานุพันธ์ วงศ์วรเดช เสด็จประพาสประเทศชวา พร้อมด้วยหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ในวันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2450
สมเด็จเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าพระยาภานุพันธ์ วงศ์วรเดช เสด็จจากกรุงเทพมหานคร มุ่งไปยังเมืองได ของประเทศชวา (ประเทศอินโดนีเชีย) เป็นแห่งแรก และทรงตั้งพระทัยว่า จะเสด็จไปยังตำบลมาโตเออ เมื่อเสด็จถึงตำบลมาโตเออ พวกประชาชนประมาณ10 หมู่บ้าน ต่างพากันต้อนรับพระองค์อย่างสมพระเกียรติ
โดยจัดดนตรีนำมาแสดงถวายให้ทอดพระเนตร ประชันกันถึง 7 วง
พระองค์สนพระทัยวง อุงคะลุงเป็นพิเศษ เมื่อเสด็จกลับประเทศไทย จึงมีรับสั่งให้กงสุลไทยในชวา ซื้อดนตรีชนิดนี้ส่งมา 1 ชุด ภายในปี พ.ศ. 2451 แล้วทรงนำดนตรีชนิดนี้ฝึกสอนมหาดเล็กของพระองค์ในวังบูรพาก่อน
จึงเกิดมีดนตรีชนิดนี้ขึ้นในประเทศไทย
ต่อมาได้แพร่หลายออกไปทั่วประเทศ ซึ่งคนไทยเรียกว่า “อังกะลุง” ต่อมาสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี ได้มีการพัฒนาอังกะลุงเพิ่มเป็น 3 กระบอก ลดขนาดให้เล็กและน้ำหนักเบาลง เพิ่มเสียงจนครบ 7 เสียง และได้พัฒนาการบรรเลงจากการไกวเป็นการเขย่าแทน นับเป็นต้นแบบของการบรรเลงอังกะลุงของไทยในปัจจุบัน
การบรรเลงเพลงของอังกะลุง
เนื่องจากอังกะลุง เป็นเครื่องดนตรีที่ให้เสียงดนตรีเพียงแค่ 1 โน้ตเท่านั้น ทำให้เมื่อต้องบรรเลงเพลงด้วยเครื่องดนตรีดังกล่าว ต้องใช้อังกะลุงจำนวนมากเพื่อบรรเลงเพลง เป็นหนึ่งเพลง รวมถึงบรรเลงอังกะลุงในลักษณะวงอังกะลุง โดยใน 1 วงอังกะลุง จะประกอบไปด้วยชุดอังกะลุงซึ่งมีจำนวนอย่างน้อย 7 คู่ พร้อมเครื่องประกอบจังหวะเช่น ฉิ่ง ฉาบเล็ก กรับ โหม่ง กลองแขก และเครื่องตกแต่งเพื่อเพิ่มความสวยงาม เช่น
ธงชาติ หางนกยูง เป็นต้น
ด้วยความง่ายของอังกะลุงที่ใช้วิธีการเขย่าเพื่อให้เกิดเสียง ทำให้ตามสถานศึกษาต่าง ๆ มักนิยมนำเครื่องดนตรีดังกล่าวมาฝึกหัดให้กับนักเรียน เนื่องจากเป็นเครื่องดนตรีไทย ที่ให้เสียงไพเราะ ฝึกหัดไม่ยาก ใช้งบประมาณในการจัดตั้งวงไม่สูงมากนัก ทั้งยังเป็นการสร้างความสามัคคีและความพร้อมเพรียงให้กับหมู่คณะอีกด้วย
ด้วยภูมิปัญญาของชาวอินโดนีเซีย ที่แปรเปลี่ยนไม้ไผ่ให้กลายเป็นเครื่องดนตรีสร้างความไพเราะ ทำให้เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2553 (ค.ศ. 2010) อังกะลุง (Angklung) หรือ “อุงคลุง” เครื่องดนตรีที่มีต้นกำเนิดในอินโดนีเซีย ถูกรับรองและประกาศจากองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการ ในฐานะ “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ”
ข้อมูลจาก ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง