Guardians of the Galaxy 3 จบแฟรนไชส์ของสหายต่างดาวอย่างสมบูรณ์

Guardians of the Galaxy
ภาพจาก Guardians of the Galaxy

Guardians of the Galaxy Vol 3 ฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์ ผู้กำกับ เจมส์ กันน์ ปล่อยจินตนาการอย่างอิสระ นักวิจารณ์ชี้เป็นภาคจบที่สมบูรณ์ Rottentomatoes ให้คะแนน 79% 

วันที่ 3 พฤษภาคม 2566 หลังจากที่ Guardians of the Galaxy Vol 2 ถูกฉายไปตั้งแต่ปี 2560 เป็นเวลานานเลยทีเดียวกว่าแฟน ๆ มาร์เวลจะได้ชมภาค 3 ซึ่งเป็นภาคจบของแฟรนไชส์ โดยฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

ความยุ่งเหยิงกว่าจะมาเป็น “Guardians of the Galaxy Vol 3” เริ่มต้นที่ “ดิสนีย์” บริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าของจักรวาลมาร์เวล ประกาศไล่ “James Gunn” (เจมส์ กันน์) ผู้กำกับภาพยนตร์ออก เนื่องจากเรื่องราวในทวิตเตอร์ที่ทำให้เสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์องค์กร ด้าน เจมส์ กันน์ เองก็ไม่ใช่ย่อยระหว่างถูกไล่ออกได้ข้ามจักรวาลไปอยู่กับ “DC” และได้กำกับภาพยนตร์ “The Suicide Squad” ในปี 2564

อย่างไรก็ตาม Guardians of the Galaxy ภาค 1 และ 2 นั้นทำไว้ดีสร้างทั้งรายได้และกระแสตอบรับด้านบวก แฟน ๆ จึงเลือกยืนเคียงข้างผู้กำกับ จนกระทั่งเขาได้กลับเข้าทำงานกับ ดิสนีย์ อีกครั้ง แม้ไม่รู้ว่าการเจรจาดำเนินไปอย่างไร แต่ดูเหมือนว่าหนึ่งในเงื่อนไขของการกลับมาคือการอนุญาตให้ กันน์ ทำอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการใน Guardians of the Galaxy Vol 3 โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ทุนสร้างสูงเทียบเท่าภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ของมาร์เวล

แม้ใน 2 ภาคแรกหนังจะออกทางแนวตลก สนุก และเกรียน แต่ Guardians of the Galaxy Vol 3 กลับมาในบรรยากาศที่จริงจัง อึมครึม หดหู่ และมีจังหวะเศร้าเรียกน้ำตา จึงถูกจัดอยู่ในระดับ PG-13 เนื่องจากเนื้อหาบางส่วนอาจจะไม่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 13 ปี ผู้ปกครองอาจต้องชั่งใจเล็กน้อยหากจะพาบุตรหลานไปดูเพราะอาจพบฉากบาดหัวใจได้

Guardians of the Galaxy
ภาพจาก Guardians of the Galaxy

จบแฟรนไชส์อย่างสมบูรณ์

Guardians of the Galaxy Vol 3 นำแสดงด้วยตัวละครหลักเหมือนเดิม นำทัพมาโดยหัวหน้าแก๊งอย่าง ปีเตอร์ ควิลล์ หรือ สตาร์ลอร์ด (Chris Pratt), กาโมรา (Zoe Saldaña) นักฆ่าผิวสีเขียวขี้บ่น, เนบิวลา (Karen Gillan) ไซบอร์กเจ้าอารมณ์, กรูท (ให้เสียงโดย Vin Diesel), แดร็กซ์ (David Bautista) นักรบร่างกำยำผู้ไม่รู้ภาษา, Mantis (Pom Klementieff) และ Rocket (ให้เสียงโดย Bradley Cooper) ตัวละครที่เป็นเนื้อเรื่องหลักของภาคนี้

ADVERTISMENT

BBC เผยว่า Guardians of the Galaxy Vol 3 เหมือนการดูทีวีที่สลับช่องไปมาระหว่าง “Star Trek” และ “Star Wars” ทุกภาครวมกัน โดยแก่นของเรื่องนี้คือ “High Evolutionary” (Chukwudi Iwuji) นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องที่ต้องการดัดแปลงสัตว์ให้มีสติปัญญาเทียบเท่ามนุษย์เพื่อหวังสร้างอาณานิคม Counter Earth ที่สมบูรณ์แบบ โดยมี “Ayesha” แห่งซอฟเวอเรน และ “Adam Warlock” ผมทองซึ่งเป็นนักฆ่าที่เลือดเย็น ทั้งหมดต้องการตัว Rocket และต่อสู้กันจนเจ้าแรคคูนแทบไม่รอด คนที่เหลือจึงต้องหาวิธีช่วยชีวิตเพื่อนขนปุยตัวนี้

โดยหนังจะเล่าเรื่องสลับไทม์ไลน์ไปมานี่จึงเป็นครั้งแรกที่คนดูจะได้ทราบชีวิตและความเป็นของ Rocket ซึ่งเป็นศูนย์กลางของภาคนี้ ว่าก่อนจะมาเป็นพ่อมดแรคคูนเทคโนโลยีถือปืนในปัจจุบัน เหตุการณ์เมื่อครั้ง Rocket ที่ถูกจับเข้าเครื่องทดลองในวัยเด็กนั้นเป็นอย่างไร

ADVERTISMENT

ถึงกระนั้น BBC แสดงความคิดเห็นว่าสตูดิโอควรจะควบคุม กันน์ สักหน่อยเพราะ Guardians Vol 3 มีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 29 นาที ประกอบกับเนื้อเรื่องที่วุ่นวายและซับซ้อนมากทำให้รู้สึกว่ายาวเป็น 2 เท่าจากความจริง จึงเหมือนกับการสลับช่องระหว่าง Star Trek ทั้งเรื่องและ Star Wars ทุกภาคที่มีเอเลี่ยนสนุกๆ ให้ดูมากมายแต่ผู้ชมอาจไม่ได้ติดตามหรือสนใจในเนื้อเรื่องเท่าที่ควร

ความสง่างามของภาพยนต์เรื่องนี้คือเมื่อ กันน์ ได้อิสระปลดปล่อยจินตนาการอย่างเต็มที่ ทุกคนต่างรู้ดีว่าธีมหลักของหนังเรื่องนี้คือ “เพื่อน” แม้ว่าตัวผู้กำกับจะไม่ได้ใส่ไว้ในบทสนทนาบ่อยนัก ฉากสุดท้ายแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความรักที่จริงใจของ กันน์ ต่อตัวละคร และนักแสดงสมควรได้รับเครดิตเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาทั้งหมดทำให้เห็นถึงสัมพันธ์ของตัวละครที่น่าเชื่อถือและลึกซึ้งกว่า Guardians ภาคก่อน ๆ

Guardians of the Galaxy
ภาพจาก Guardians of the Galaxy

Rotten Tomatoes ให้ 79%

“Rotten Tomatoes” เว็บไซต์แนะนำคุณภาพของสื่อบันเทิงทั้งภาพยนตร์ ซีรีส์ และครต่าง ๆ โดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ได้ให้คะแนน Guardians of the Galaxy Vol 3 ที่ 79%

บทวิจารณ์ของ “Jake Coyle” จากสำนักข่าว AP ใน Rotten Tomatoes เผยว่า Guardians of the Galaxy Vol 3 เป็นตอนจบที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงแต่ก็ไม่ค่อยมีการตั้งคำถามถึงตัวตนของผู้กำกับที่อยู่ในหนังเรื่องนี้

เรื่องหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของแฟรนไชส์นี้คือเพลง โดยภาคจบ กันน์ เลือกใช้เพลงจากยุค 90’s เป็นส่วนใหญ่ในการดำเนินเรื่องและสร้างอารมณ์ในแต่ละฉาก ซึ่งยังคงทำได้ดีเหมือนกับ 2 ภาคก่อนหน้า โดยเพลง “Creep” ของวง Radiohead ที่ใช้เปิดตัวไม่ใช่จังหวะสนุกสนานทำให้สร้างมู้ดแอนด์โทนที่หม่นพอสมควรซึ่งก็เป็นบรรยากาศที่ผู้กำกับต้องการ

ไม่ว่า Guardians of the Galaxy ตีความสิ่งเหล่านั้นออกมาได้เหมาะสมหรือไม่ หรือดีพอจะเป็นบทสรุปของแฟรนไชส์นี้หรือไม่ ยังเป็นที่ถกเถียงกัน แต่ภาพยนต์เรื่องนี้ของ กันน์ มีความแตกต่างจากส่วนใหญ่ที่เขากำกับและเขียนบทมา โดยมีความโดดเด่นออกมาจากสไตล์ของมาร์เวลแบบเดิม ๆ อาจเรียกว่าดีที่สุดหลังจาก Avengers Endgame เลยก็ได้ Jake Coyle กล่าว