
“Taylor Swift : The Eras Tour” คอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์ในรูปแบบภาพยนตร์ ที่เปรียบเหมือนการบันทึกเรื่องราวชีวิตของ “เทย์เลอร์ สวิฟต์” ทลายกฎเกณฑ์และสร้างปรากฏการณ์ในโรงภาพยนตร์ทั่วโลก
หลังจากที่ “Taylor Swift” (เทย์เลอร์ สวิฟต์) ศิลปินหญิงชื่อดังชาวอเมริกันได้ประกาศจัด “Taylor Swift : The Eras Tour” เวิลด์ทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกของเธอตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 โดยเริ่มต้นที่ State Farm Stadium เมืองเกลนเดล รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา เป็นที่แรก และมีแพลนจะไปแสดงยังเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกจนถึงปลายปี 2024

อย่างที่ทราบกันดีว่าในทวีปเอเชีย เทย์เลอร์ สวิฟต์ เลือกไปแสดงแค่ญี่ปุ่นและสิงคโปร์เท่านั้น ไม่ได้มาประเทศไทย นอกจากไทยแล้วก็ยังมีอีกหลายประเทศที่เทย์เลอร์ สวิฟต์ ไม่ได้ไปแสดง และแน่นอนว่ายังมีเหล่า “สวิฟตี้” (ชื่อเรียกแฟนคลับของเทย์เลอร์ สวิฟต์) อีกจำนวนมากที่ไม่สามารถแย่งชิงบัตรคอนเสิร์ตมาครองได้
ทำให้ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ตัดสินใจนำบันทึกการแสดงสดจากเวิลด์ทัวร์คอนเสิร์ตที่ SoFi Stadium ในนครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา มาฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลกให้สวิฟตี้ได้ดื่มด่ำกับปรากฏการณ์ครั้งสำคัญนี้ไปพร้อมกัน แม้เวิลด์ทัวร์ของเธอจะยังไม่จบลงก็ตาม
ย้อนเวลา เติบโตไปกับ เทย์เลอร์ สวิฟต์
Taylor Swift : The Eras Tour ถูกนำมาฉายเป็นภาพยนตร์คอนเสิร์ตในชื่อ “Taylor Swift : The Eras Tour Movie” ซึ่งกำกับโดย “Sam Wrench” โดยมีกำหนดเข้าฉายมื้อแรกเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2023 ที่ผ่านมา และจะฉายเพียงช่วงสัปดาห์เดียวเท่านั้น
ภาพยนตร์คอนเสิร์ตนี้เปรียบเสมือนบันทึกของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ซึ่งถูกถ่ายทอดผ่านบทเพลงจากอัลบั้มต่าง ๆ ถึง 44 เพลง ในความยาว 2 ชั่วโมง 45 นาที จากความยาวจริงประมาณ 3 ชั่วโมง 25 นาที ที่ต้องตัดบางส่วนออกไปเกือบ 40 นาที เนื่องจากเทคนิคการถ่ายทำและการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์

ปัจจุบัน เทย์เลอร์ สวิฟต์ อายุ 33 ปี เธอเริ่มต้นเส้นทางบนถนนสายดนตรีกับอัลบั้มแรกในชื่อ “Taylor Swift” เป็นแนวเพลงคันทรี ออกจำหน่ายเมื่อปี 2006 ขณะอายุเพียง 16 ปี
ก่อนจะทำอัลบั้มที่สองในชื่อ “Fearless” และ “Now” อัลบั้มที่สาม ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นศิลปินข้ามแนวเพลงที่โดดเด่น โดยมีชื่อเสียงแบบก้าวกระโดดจากเพลง “Love Story” ในอัลบั้ม Fearless และเป็นพ็อปสตาร์พร้อมเปลี่ยนแนวเพลงเต็มตัวใน “1989” อัลบั้มที่ห้า
ภาพยนตร์คอนเสิร์ต Taylor Swift : The Eras Tour จึงถูกแบ่งเป็นยุคต่าง ๆ เสมือนการเติบโตของเธอบนเส้นทางดนตรี แม้จะไม่ได้เรียงกันก็ตาม ประกอบด้วย Lover Era, Fearless Era, Evermore Era, Reputation Era, Speak Now Era, Red Era, Folklore Era, 1989 Era, Surprise Set และ Midnights Era
โดยเริ่มด้วย “Miss Americana & the Heartbreak Prince” จากอัลบั้ม “Lover” ในปี 2019 เป็นเพลงแรก เรื่อยไปจนถึง “Karma” จากอัลบั้ม “Midnights” เป็นเพลงสุดท้าย
สร้างปรากฏการณ์วงการภาพยนตร์
ภาพยนตร์คอนเสิร์ต Taylor Swift : The Eras Tour เป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญต่อวงการภาพยนตร์และโรงภาพยนตร์อีกครั้ง สร้างสถิติใหม่ทำรายได้ทะลุบ็อกซ์ออฟฟิศที่ 96 ล้านเหรียญ หรือราว 3,500 ล้านบาท ในช่วงสุดสัปดาห์แรกที่เข้าฉาย แซงหน้าภาพยนตร์คอนเสิร์ต “Justin Bieber : Never Say Never” ของ “Justin Bieber” (จัสติน บีเบอร์) ในปี 2011 ที่ทำรายได้เปิดตัว 29.5 ล้านเหรียญ หรือราว 1,051 ล้านบาท ครองตำแหน่งภาพยนตร์คอนเสิร์ตที่ทำรายได้เปิดตัวสูงสุดตลอดกาลเรียบร้อย
ไม่เพียงเท่านั้น ยังทำสถิติเป็นภาพยนตร์เป็นอันดันดับที่ 2 ของภาพยนตร์ที่เปิดตัวในเดือนตุลาคม รองจาก “Joker” ที่ทำไว้ 96.2 ล้านเหรียญ หรือราว 3,508 ล้านบาท ในปี 2019 และเป็นภาพยนตร์ที่เปิดตัวสูงสุดเป็นลำดับที่ 7 ของปีนี้ด้วย
เรียกได้ว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ล้วน ๆ โดยแทบไม่ต้องอาศัยการตลาดแบบเดิม ๆ อีกต่อไป ด้วยจำนวนผู้ติดตามบนอินสตาแกรมที่มากถึง 274 ล้านผู้ติดตาม ก็เพียงพอ
นอกจากนี้ภาพยนตร์คอนเสิร์ตดังกล่าวยังทลายกฎเกณฑ์บางอย่างในโรงภาพยนตร์ลง ที่ไม่เข้มงวดการใช้โทรศัพท์มือถือและให้เหล่าสวิฟตี้ได้ปลดปล่อยพร้อมดื่มด่ำคอนเสิร์ตกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะร้องเพลงตาม หรือหยิบโทรศัทพ์ขึ้นมาถ่ายวิดีโอ เพื่อบันทึกช่วงเวลาสำคัญนี้ไว้
สำหรับชาวไทยไม่ว่าจะเป็นสวิฟตี้หรือไม่ก็ตาม ภาพยนตร์คอนเสิร์ต Taylor Swift : The Eras Tour อาจเป็นโอกาสสำคัญเพียงไม่กี่ครั้งที่จะทำให้ได้ใกล้ชิดกับ เทย์เลอร์ สวิฟต์ มากขนาดนี้โดยไม่ต้องบินไปดูถึงต่างแดน หลังจากที่ เทย์เลอร์ สวิฟต์ เคยเกือบมาเมืองไทยแล้วแต่ต้องยกเลิกคอนเสิร์ตไปอย่างน่าเสียดาย เพราะการรัฐประหารในปี 2014