
กษมา ศิริกุล : เรื่อง / ทีมมติชน : ภาพ
หลายคนอาจจะเคยอ่านหนังสือชื่อดัง “พ่อรวยสอนลูก” (Rich Dad Poor Dad) ที่พูดถึงหลักคิดว่าพ่อที่รวยสอนลูกอย่างไร
นอกตำรา “ประชาชาติธุรกิจ” ได้พูดคุยกับ “ลูกของพ่อที่รวย” อย่างน้องออม “สิตมน รัตนาวะดี” หนุ่มน้อยวัย 26 ปี ทายาทคนเล็กของ คุณอ๋อ “นลินี” และคุณกลาง “สารัชถ์ รัตนาวะดี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน ) หรือ GULF บริษัทที่เรียกว่าเป็นเบอร์ 1 ด้านพลังงาน และยังเป็นประธาน บริษัท สโตนฮิลล์ เอสเตท จำกัด สนามกอล์ฟชื่อดัง ว่าแท้จริงแล้ว “พ่อรวย” สอนลูกอย่างไร
พ่อสอนด้วยเหตุและผล
น้องออมเรียนจบการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาคอินเตอร์ ตอนนี้เข้ามาช่วยทำงานในบริษัทกัลฟ์ในด้านการบริหารงานบุคคล หรือ HR การทำงานนี้ไม่ได้ตรงกับสิ่งที่เรียนมา ซึ่งสิ่งที่ทำไม่ได้ถูกบังคับหรือได้รับแรงกดดันอะไรจากคุณพ่อเลย
น้องออมเล่าว่า จริง ๆ แล้วพ่อและแม่สอนลูกโดยที่ไม่เคยตีลูกเลย แต่จะใช้หลักการให้เหตุผลในการสอนให้ลูกคิดในแต่ละเรื่อง
“อย่างตอนที่เราเด็กอยากได้ของเล่นราคาแพง คุณพ่อก็จะถามว่าจะเอาไปทำอะไร ไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง และบอกเราว่าการที่เราหาเงินได้เยอะ ๆ ขนาดนี้ เงินนั้นอาจจะเอาไปใช้ทำประโยชน์กับคนอื่น ๆ ได้อีก”
ความรวยกับการใช้ชีวิต
เมื่อถามว่าเคยกลุ้มใจกับความรวยไหม น้องออมเล่าอย่างอารมณ์ดีว่า “ถ้าถามว่ากลุ้มใจไหมผมขอตอบว่าเราโชคดีที่เกิดมาอย่างนี้ เราไม่กลุ้มใจกับเรื่องนี้เราคิดว่าเมื่อมีตรงนี้ก็อยากจะให้โอกาสคนอื่น สำหรับผมสิ่งที่ยาก ของความรวย ก็คือ การที่เราจะหาคนที่ดี ๆ เข้ามาในชีวิตของเรานั้นยาก อย่างสมมุติ ถ้าเราจะหาแฟน มีผู้หญิงเข้ามาหาเราจะเป็นแฟนเพราะตัวเราหรือเปล่าคิดได้สองแบบ เราต้องเข้าใจ อยู่และใช้ชีวิตต่อไปให้ได้”
“ส่วนที่ถามว่าทำอย่างไรจึงรวย ผมว่าเราต้องเป็นตัวเองก่อน สำหรับผมตอนนี้ พ่อผมรวยแต่ผมไม่ได้รวย ตัวเองเราเป็นเจนสองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะประสบความสำเร็จอย่างพ่อได้ไหม”
การใช้ชีวิตใน 1 วัน
ในแต่ละวันการใช้ชีวิตปกติ “น้องออม” ตื่นประมาณ 05.30-06.00 น. กิจกรรมยามเช้า เริ่มดูข่าวต่างประเทศก่อน เช่น CNN จากนั้น 7 โมงออกจากบ้านไปที่ทำงาน จะฟังพวกพอดแคสต์ เพราะชอบฟังเรื่องเทรนด์ของอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร หรือเรื่องความเคลื่อนไหวในวงการ HR (HR movement) จะเป็นอย่างไร เพราะเราทำงานอยู่ฝ่าย HR
“คนจะคิดว่างาน HR เป็นเรื่องของการหาคน แต่จริง ๆ แล้วการทำ HR มันมากกว่านั้น สมมุติว่าถ้าเราอยากช่วยคนอื่น เราต้องช่วยบริษัทตัวเองให้ได้ก่อน จากนั้นทุกอย่างมันก็จะตามมาตอนนี้เราคิดว่าเราฟูฟิลด์กับบริษัทมากน้อยแค่ไหนเข้าใจบริษัทมากน้อยแค่ไหน และเรารู้สิ่งที่เราได้เรียนรู้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปบอกคนอื่นว่าเรารู้อะไรมากแค่ไหน เราเพียงแค่รู้ว่าเรารู้ อย่าไปกร่างกับคนอื่น”
จัดกอล์ฟทริปกับลูก
ย้อนไปในวัยเด็ก ด.ช.ออม และคุณพ่อที่ไม่ใช่เป็นแค่โรลโมเดล แต่เหมือนเพื่อน และเป็นซัพพอร์ตเตอร์ด้วย เพราะให้โอกาสและส่งเสริม ด.ช.ออม ทำในสิ่งที่ชอบ โดยเฉพาะงานอดิเรก อย่างการตีกอล์ฟ
“ตอนเด็ก ๆ ผมเคยอยากเป็นโปรกอล์ฟ เราจะมีกอล์ฟทริปกัน พ่อพาผมไปดูรายการแข่งขันกอล์ฟแมตช์ใหญ่ ๆ ทั้งในและต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ๆ เลย เราเคยออกรอบในสนามต่าง ๆ ด้วยกัน มีสนามแห่งหนึ่งประทับใจมาก ๆ ที่นิวซีแลนด์ เพราะได้เล่น 1 ครั้งเท่านั้น หากจะเล่นครั้งต่อไปต้องสมัครเป็นสมาชิก ซึ่งแพงมาก (หัวเราะ) พอโตขึ้นเราเปลี่ยนความคิดเรื่องการอยากเป็นโปรกอล์ฟไป เพราะการจะเป็นโปรได้คุณต้องเก่งมาก ๆ ต้องฝึกซ้อม ต้องชนะโปรกอล์ฟตอนนี้หลายคนซึ่งมันยากมาก ๆ”
ตอนนี้น้องออมจึงเลือกเล่นกอล์ฟเป็นงานอดิเรก ทำร่วมกับเพื่อน ๆ ที่รู้จักกันในบริษัทกัลฟ์ และบางคนรู้จักกันมาก่อน
และเมื่อมาถึงการลงแข่งขันงานกอล์ฟการกุศล 47 ปีประชาชาติธุรกิจ ในเครือมติชน จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2566 น้องออมและเพื่อนอีก 3 คน คือ คุณวิศรุต ไมตรียืนยง คุณธนพร หิรัญรักษ์ และคุณ Attaporn Adrari Vacheevin จึงไม่พลาดที่จะลงสมัครแข่งขันในนามทีม GULF
“เราลงสมัครงานกอล์ฟ 47 ปีประชาชาติธุรกิจ พยายามคุยกันว่าทำเต็มที่ ต้องชนะให้ได้ ส่วนหนึ่งเพราะพ่ออยากให้ได้ถ้วยรายการนี้ของมติชนและประชาชาติธุรกิจมาก เราเลยต้องเต็มที่ ซ้อมกันประมาณ 1 เดือน”
ถามว่าพ่อมีรางวัลพิเศษเป็นแรงหนุนไหมหากได้แชมป์รายการนี้ หนุ่มออมตอบว่า “พ่อบอกว่าถ้าไม่ได้ถ้วย เอางานไปเพิ่ม 4 โปรเจ็กต์” (หัวเราะ)
ซึ่งด้วยแรงฮึดทำให้ออมและเพื่อน ๆ ประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์รางวัลใหญ่ประเภททีม และยังมีอีกหลายรางวัลย่อย เช่น น้องออมรับรางวัลชนะเลิศ Flight A HCP : 12.9 และคุณ Attaporn Adrari Vacheevin ได้รางวัล 2nd Runner Up ส่วนคุณธนพร คว้ารางวัล Lady Flight และรางวัลขวัญใจกรรมการ
มีสนามกอล์ฟซ้อมเอง จึงชนะ
หลังจากคว้าถ้วยรางวัลในงานแข่งขันกอล์ฟ เจ้าตัวถึงขั้นหัวเราะ เมื่อถูกคนในงานหยอกเย้าว่า ที่ชนะเพราะว่ามีสนามสโตนฮิลล์เป็นสนามซ้อมส่วนตัวซ้อมตลอด อย่างไรซะฝีมือจะต้องดีอยู่แล้ว
น้องออมบอกว่า “จริง ๆ แล้วเป็นคนที่ไม่ชอบตีสนามเดิมตลอด อาจจะเรียกว่าชอบความท้าทายของสนามใหม่ ๆ ที่จะมีลักษณะพื้นที่สนามที่ต่างกัน ทำให้การเล่นสนุกมากกว่า”
และเสน่ห์อีกอย่างของกอล์ฟที่ได้รับจากคำสอนพ่อ และได้ประสบพบเจอด้วยตัวเองคือ กีฬากอล์ฟเป็นกีฬาที่ต้องใช้เวลาในการตี การเดินในสนาม ทำให้มีโอกาสใช้เวลากับเพื่อน หรือคู่แข่งขัน นั่นคือ โอกาสในการเรียนรู้อุปนิสัยใจคอของคน ใครเป็นอย่างไร ก็เห็นได้จากการตีกอล์ฟ เรื่องนี้สามารถนำไปใช้ในการทำธุรกิจได้ด้วย
กิจกรรมเพื่อสังคม พ่อ-ลูก
การส่งเสริมด้านการกีฬาเป็นบทบาทหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งคุณสารัชยังมีกิจกรรมเพื่อสังคมร่วมกับทายาทคนเล็ก เสมอมา
อย่างในช่วงที่เกิดปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ น้องออมเล่าว่า “ผมและพ่อร่วมกันทำร้านอาหาร ซึ่งเป็นร้านอาหารอิตาเลียน เพราะชอบเหมือนกัน ส่วนพี่ชายพี่อิงจะดูแลสนามกอล์ฟ”
ร้านอาหารนี้เรามีพ่อครัวเป็นฝรั่ง แต่พอโควิดพ่อครัวอยากกลับประเทศ เราจึงเหลือพ่อครัวไทยเป็นคนอีสานที่ทำอาหารอร่อยมาก
“พอในช่วงที่เกิดน้ำท่วม ผมเคยลงไปพื้นที่เองเห็นชาวบ้านต้องกินข้าวกล่องที่เป็นเชื้อราบูด อาหารบางอย่างก็แห้ง ข้าวก็แข็งจนฝืดคอ ออมกับพ่อจึงคิดว่ามาทำอาหารกล่อง เรามีร้านอาหารเราเองทำไมเราไม่ทำร้านอาหาร พ่อครัว พนักงานช่วยกัน เพื่อส่งไปช่วยชาวบ้านในช่วงน้ำท่วมดีกว่า เราทำกันเอง เมนูบ้าน ๆ ที่คนไทยชอบอย่างผัดพริกแกง หมูอบ ผัดกะเพรา และทำทีละจาน ๆ เราบอกพนักงานว่าให้ทำเหมือนเราทำทานที่บ้าน”
หลายคนอาจจะทึ่งว่า ไลฟ์สไตล์แบบนี้จะมาบอกว่าทำงานเพื่อสังคมจริงหรือเปล่า แต่เพื่อน ๆ ก๊วนกอล์ฟของน้องออมช่วยกันยืนยันว่า “ออมเป็นคนชอบทำบุญมาก เขารักษาศีล 5 ตอนนี้อายุ 26 ปีแล้ว แต่ไม่ดื่มเหล้า สายบุญ ชอบไปทำบุญที่วัด”
ชีวิตพร้อมทุก “ความฝัน” อยากทำอะไร
“จริง ๆ ผมแค่อยากใช้ชีวิตในแบบที่ใช้แบบเดิม ๆ ที่ผ่านมา แค่นี้เพียงพอแล้ว และอยากจะให้โอกาสคนสำหรับใครที่เขาคิดว่าไม่มีโอกาส เราเคยทำมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับช้าง แล้วตอนนี้ก็ทำอะไรให้จุฬาฯ”
อยากจะส่งต่ออะไรให้คนรุ่นใหม่ที่มองเรา
“ถ้ามีคนมองเราเป็นต้นแบบ เราก็อยากจะให้บอกคนรุ่นใหม่ให้ take it slow เพราะทุกอย่างจะตามหลังเรามาเยอะ ภาระหลังจบมาแล้ว ในตอนเรียนเราอาจจะคิดว่าเราเก่งแล้วแต่พอจบออกมา เราต้องแข่งกับตัวเองต้องแข่งกับโลก ฉะนั้น จะทำอย่างไรให้ตัวเองมีความสุข เมื่อโลกคิดร้ายกับเราแต่เราจะคิดดีกับตัวเองได้อย่างไร”
“ถ้าเราสามารถส่งต่อแนวคิดได้ก็อยากจะส่งต่อว่า อะไรคือความสุขของเราตอนนี้ ถ้าทำไปแล้วคิดว่ามีความสุขก็จงทำสิ่งที่มีความสุขต่อไป ถ้ามีความทุกข์ก็ต้องคิดว่าเราควรจะทำอย่างไรต่อไป เมื่อมีความสุขแล้วจะทำต่อหรือจะเพียงพอเท่านี้จะทำอย่างไรก็ได้แต่อย่า toxic กับคนอื่น เพราะถ้า toxic คนอื่นจะหนีไปเอง”