ในความทรงจำยามเช้า ตื่นพร้อมดวงอาทิตย์ที่ “อิตาลีใต้”

เรื่องโดย ชลาทิพย์ ถิรสุนทรากุล

“อย่าเอื้อนเอ่ยคำลา ทิ้งใจดวงนี้ให้แตกสลาย ขอเพียงเธอกลับมายัง…ซอเรนโต” ห้วงทำนองเพลงอมตะ Come Back To Sorrento ลอยแผ่วอยู่ข้างหู ระหว่างบินข้ามฟ้า-มหาสมุทร มุ่งหน้าสู่กรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลี เพื่อเริ่มต้นเยี่ยมเยือนเมืองสุดคลาสสิก “ซอเรนโต” นั่นเอง

เราบินจากประเทศไทยด้วยเครื่องบินแอร์บัส A350-900 XWB สายการบินไทย ความเงียบในห้องโดยสารและทริปบินที่ราบรื่น ถือเป็นการเปิดประตูสู่ “การเดินทางแบบพักผ่อน” อย่างแท้จริง

เป้าหมายของทริปนี้คือ การล่องท่องไปในอิตาลีตอนใต้ ที่มีดินแดนถูกยกให้เป็น “เส้นทางสวรรค์” ที่ใฝ่ฝันมาเยือนสักครั้งในชีวิต “อมาลฟีโคสต์” Amalfi Coast

เท้าแตะถึงกรุงโรม แสงแดดยังร้อนแรงในปลายฤดูร้อน เป็นช่วงฮอลิเดย์ของชาวอิตาลี…ไม่รอช้า นั่งรถออกจากกรุงโรมเกือบ 4 ชั่วโมง จึงถึง “ซอเรนโต” เมืองตากอากาศริมอ่าวเนเปิลที่มีชื่อเสียง…

เมืองซอเรนโตตั้งอยู่บนหน้าผาสูงที่ไล่ระดับลงมาสู่หาดทรายสีเทา คลอด้วยภาพเรือใบแล่นบนผืนน้ำทะเลสีฟ้าเข้มจัด…ภาพตรงหน้า คือฉากแรกที่ไม่อาจละสายตาได้ ก่อนจะพบว่าความสวยงามยังมิได้หยุดอยู่แค่ที่นี่

วิธีเที่ยวสไตล์ผ่อนคลายในซอเรนโต คือ การเลือกพักโรงแรมบนชะง่อนผาสูง เพื่อใช้เวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ในบรรยากาศสงบนิ่ง ตื่นพร้อมดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือท้องทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแบบเต็มตา คั่นเวลาระหว่างวันด้วยการเดินลัดเลาะไปตามทางลาดสู่หาดทรายลงไปเล่นน้ำ หรือจะเลือกใช้เวลาเดินเล่นชมชีวิตผู้คนในตัวเมืองซอเรนโตได้เช่นกัน

ฤดูร้อนของที่นี่เป็นบรรยากาศของนักท่องเที่ยวทั้งจากในอิตาลีและต่างแดน ความสนุกของการเดินเล่นในย่านใจกลางเมืองบริเวณถนนหลักคอร์โซ อิตาเลีย นอกจากเป็นที่ตั้งของจัตุรัสแทสโซ และโบสถ์ซอเรนโต โบสถ์ใหญ่ประจำเมืองที่มีสถาปัตยกรรมแบบบาโรค คือ ร้านรวงที่อยู่ซุกซ่อนตัวไปตามตรอกต่าง ๆ ที่ละลานตาด้วยคาเฟ่กลางแจ้ง ไปจนถึงร้านขายสินค้าระดับแบรนด์และสินค้าท้องถิ่น

แวะกินเจลาโต พลางเดินเล่นยามเย็นไปเรื่อย ๆ ก่อนจะถึงพลบค่ำ ที่ถนนหลักใจกลางเมืองจะแปรสภาพกลายเป็นวอล์กกิ้งสตรีต ทั้งแสงไฟ ผู้คนสนุกสนานครึกครื้น

หากอิตาลีตอนเหนือ คือ ดินแดนแห่งดีไซน์ ครีเอทีฟ ความฟู่ฟ่าแล้ว เสน่ห์ของอิตาลีตอนใต้ คือ “จิตวิญญาณแห่งอาหาร”

มาถึงซอเรนโตแล้ว เราเลือกดินเนอร์ที่ร้านอาหารเก่าแก่ประจำเมือง แต่ชื่อชั้นระดับเวิลด์คลาส O’ Parrucchiano ร้านอายุร่วมร้อยปี ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ภายนอกดูเล็กน่ารัก แต่ภายในได้ซุกซ่อน “สวนป่า” ที่โอบล้อมเราอยู่ตรงหน้า แรกเริ่มร้านนี้เป็นร้านอาหารระดับ “Trattoria” (ร้านอาหารที่ใช้วัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่) ก่อนจะเติบโตเป็นร้านระดับ Ristorante (ร้านอาหารระดับหรู) พร้อมชื่อชั้นห้อยท้าย Excellent Kitchen ของสถาบันอาหารอิตาลี

ซอเรนโตเป็น “แอปพิไทเซอร์” เรียกน้ำย่อยของทริปได้เป็นอย่างดี ก่อนไปสู่ “อองเทร” อาหารจานหลักที่เป็น “ไฮไลต์” ของทริปนี้ คือ “อมาลฟีโคสต์” เส้นทางที่มีทิวทัศน์สวยงามยอดนิยมระดับโลก

ชายฝั่งอมาลฟีที่มีระยะทาง 50 กิโลเมตร คือ เส้นทางมรดกโลก เอกลักษณ์ของถนนแคบเคี้ยวคดไปตามผาชันที่ขนาบอยู่ติดกับชายหาดเมดิเตอร์เรเนียน ชนิดมองไกลไปจดเขาโค้งลิบสายตา ตัดสลับด้วยทิวทัศน์ระยะใกล้ ต้นมะกอก ต้นมะนาว ที่เบื้องหลังคือสีน้ำเงินสดของท้องทะเล ลักษณะภูมิประเทศที่ไม่อาจละสายตาจากวิวพันล้านได้ สมกับที่กวีและนักปรัชญาที่ได้มาเยือนที่นี่ ยกให้เป็น “ชายฝั่งเทพเจ้า” เรียกแบบบ้านเราต้องบอกว่า “สวยงามระดับเทพ”

การท่องเที่ยวระหว่างทางอมาลฟีโคสต์ ต้องใช้รถที่ไม่ใหญ่นัก เพราะถนนค่อนข้างแคบ ซึ่งวิธีท่องเที่ยวคือการเยี่ยมชมเมืองเล็ก ๆ หลายเมืองตั้งตามชายฝั่งชะง่อนผา หรือจะเลือกพักผ่อนที่เมืองใดเมืองหนึ่ง และแบ่งเวลาระหว่างวันนั่งรถประจำทาง หรือขี่มอเตอร์ไซค์เช่า แวะเวียนเยี่ยมชมเมืองเล็กเมืองน้อยได้

ทริปนี้เลือกเยือน 3 เมืองเด่น คือ เมืองโพสิตาโน, อมาลฟี และราเวลโล รถแล่นเลาะเลี้ยวบนเส้นทางอมาลฟีโคสต์ไปเรื่อย ๆ บางช่วงคนขับต้องปล่อยเกียร์ว่างลัดเลาะตามถนนคดโค้ง จากวิวทะเลเริ่มเห็นทิวทัศน์เหนือเมือง บ้านเรือนตั้งแทรกอยู่ตามเนินเขา ทอดตัวลงสู่ชายฝั่ง เป็นสัญญาณว่าเราเข้าสู่เมืองโพสิตาโน เมืองชายฝั่งขนาดเพียง 8 ตารางกิโลเมตร เมืองเล็ก ๆ ที่ใช้เป็นฉากในหนังเรื่อง Positano จากนวนิยายของ “จอห์น สไตน์เบ็ก” ที่ครั้งหนึ่งนักประพันธ์เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม ผู้นี้เคยบอกว่า อยากซ่อนความงามของเมืองโพสิตาโนไว้ให้ไกลจากสายตาผู้คน แต่เสน่ห์ของโพสิตาโนได้ดึงดูดผู้คนทั่วโลกมามิขาดสาย ในที่สุดหมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้ได้เปลี่ยนชีวิตเป็นเมืองเพื่อธุรกิจท่องเที่ยวโดยสมบูรณ์

วิธีท่องเที่ยวในโพสิตาโน คือ เดินเล่นลัดเลาะหมู่บ้านที่ลาดลงไปเรื่อย ๆ จนถึงชายหาด ระหว่างทางเดินมีร้านรวงท้องถิ่นขายผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากมะนาวหลากหลายรูปแบบ หรือจะลองชิม “ลิมอนเชลโล” เหล้ามะนาวท้องถิ่นก็ได้ ยังมีกระเบื้องเคลือบแบบสวย ๆ เสื้อผ้า-สร้อยถักสไตล์ชาวทะเล พรั่งพร้อมด้วยคาเฟ่ ร้านเครื่องดื่ม ร้านอาหาร

เดินจนเกือบถึงชายหาด มีโบสถ์ซานตามารีอาอัสซุนตา ให้แวะพักรับร่มเงา เดินชมบรรยากาศโบสถ์ริมทะเลสักนิด ก่อนจะลงไปยังชายหาดที่ผู้คนนอนอาบแดด เด็ก ๆ วิ่งเล่นน้ำกระจายไปทั่วหาด โดยมีฉากหลังเป็นวิลล่าที่ตั้งตามชะง่อนผาสุดแสนโรแมนติก

ถัดจากโพสิตาโน นั่งรถชมวิวพันล้านกันต่อมาที่เมือง “อมาลฟี” อีกหนึ่งจุดสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และยังเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปิน กวี นักประพันธ์ต่างหลั่งไหลมาเยือน ด้วยบ้านเรือนที่ปลูกเรียงลดหลั่นอาบแสงแดดตามหน้าผาสูงเหนือทะเลกว้างใหญ่

ใครอยากมีผิวเกรียมแดดแบบเมดิเตอร์เรเนียน ต้องมานอนอาบแดดที่ริมหาดอมาลฟี เพราะภาพร่มชายหาดจัดแถวเรียงสี ขนานแนวชายหาดสีน้ำเงินเข้มตรงหน้า…เรียกความสำราญยามฤดูร้อนอย่างแท้จริง

นอกจากทิวทัศน์ตระการตาแล้ว มาถึงอมาลฟีต้องชิมซีฟู้ดเลื่องชื่อ เราชมวิวเคล้าอาหารทะเลสดที่ Eolo Restaurant กุ้งย่าง ปลาหมึกย่าง หอยแมลงภู่ สเต๊กปลาแบบฟิลเลต์ บีบตามด้วยมะนาวฉ่ำ ๆ แกล้มวิวชายหาด ตบท้ายด้วยเลมอนซอร์เบตดับร้อน

อิ่มแล้วเดินย่อยในย่านใจกลางเมือง อมาลฟี ไปยังวิหารแห่งนักบุญแอนดรูว์ สัญลักษณ์ของเมือง เป็นศิลปะกลิ่นอายสไตล์อาหรับ ด้านหน้าวิหารมีโมเสกประดับ พร้อมด้วยบันไดใหญ่สไตล์ลอมบาร์ด

บ่ายแก่ ๆ กลับสู่เส้นทางเลาะเลี้ยวของอมาลฟีโคสต์ มุ่งหน้าไปสู่ “ราเวลโล” เมืองเล็กที่มีมหาวิหารแห่งราเวลโลตั้งตระหง่าน บรรยากาศของเมืองนี้ต่างจากสองเมืองก่อนหน้า เพราะค่อนข้างสงบ ไม่พลุกพล่าน และด้วยตัวเมืองเป็นเวิ้งขนาดกำลังพอดี ทำให้นักดนตรีระดับโลกมาเปิดการแสดงในทุกปี ถือเป็นการจบ “มื้อหลัก” กับการแวะเที่ยวสามเมืองเด่นของอมาลฟีโคสต์ สมคุณค่าต่อการถูกประกาศเป็นเส้นทาง “มรดกโลก” เมื่อปี 1997

ตามต่อด้วยของหวานประจำทริป มี 2 จานเสิร์ฟ นั่นคือ ความเฉิดไฉไลที่เกาะ “คาปรี” และความเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ที่ควรค่าแก่การระลึกถึงของเมือง “นาโปลี” หรือ “เนเปิล” เราใช้วิธีนั่งเรือเฟอรี่จากซอเรนโต ไปยังคาปรีราว 20 นาที เรือลอยมาเทียบท่าคาปรีกับฉากภูเขา และตึกหลากสีบนผาสูง

นักท่องเที่ยวมากมายเริ่มต้นเช็กอินเกาะคาปรีที่จุดนี้ ก่อนเลือกวิธีขึ้นไปบนเขาทั้งแบบแทรม หรือแท็กซี่เปิดประทุน ที่วิ่งรับส่งผู้โดยสารภายในเกาะ

เรานั่งแทรมขึ้นไม่นาน วิวทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจากมุมเกาะคาปรีสวยงามขึ้นเรื่อย ๆ เป็นระลอก รูปปั้นหญิงสาวหลับตาพริ้มนอนแช่น้ำทะเลในห่วงยาง ตั้งเด่นเป็นสง่าว่ามาถึงคาปรีแล้วแน่นอน

ความสำราญแบบเล็ก ๆ ที่คาปรี คือการนั่งชมวิวยามบ่าย เคล้าชีวิตผู้คน นั่งเล่นจิบเครื่องดื่ม เดินเล่นตามร้านรวง ที่หากมีวันว่างเดินสำรวจให้ทั่วทุกตรอกซอกซอย จะพบทั้งความธรรมดาและแปลกตาปะปนกันไป ด้วยแลนด์สเคปของคาปรีที่ตรึงสายตาไว้ได้ไม่มีเบื่อ เราหลบแดดจ้ามารับประทานอาหารกลางวัน ที่ Capri Restaurant ชื่อร้านเรียบง่าย แต่ที่ตั้งในทำเลเปิดโล่ง มองไปข้างหน้าเห็นหน้าผาขนาบ มองไปสุดสายตาคือทะเลฟ้าคราม ชมวิวจิบโคล่าบีบมะนาวนิด ๆ ซาบซ่าสุนทรีย์

ของหวานอีกหนึ่งเมนูรออยู่ในอีกฝั่งอ่าวเนเปิล เรานั่งแท็กซี่เปิดประทุนที่ลัดเลาะตามทางแคบฟ้ากว้างลงจากเขากลับมาที่ท่าเรือ โบกมือลาคาปรี ขึ้นเรือเฟอรี่มุ่งหน้าเทียบท่าเมืองเก่าแก่ “นาโปลี” เมืองประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งในยุโรป และเป็นเมืองมรดกโลกในปี 1995

มาถึงนาโปลี ไม่ชิม “พิซซ่า” เรียกว่ามาไม่ถึง เพราะที่นี่คือดินแดนที่ให้กำเนิดเมนูพิซซ่า บนโลกใบนี้นั่นเอง

และที่ห้ามพลาด คือ การเดินทอดน่องไปตามเมนูประวัติศาสตร์ของเมืองเก่าแก่ระดับสามพันปี ที่มีสถาปัตยกรรมและเรื่องเล่าทั้งขม หวาน และหอมหวน

เมืองแห่งความร่ำรวยด้วยทองคำ เมืองแห่งความแร้นแค้น และเมืองประวัติศาสตร์ที่ผ่านกรำมาแล้วหลายศึกสงคราม หลายเจ้าผู้ครองนคร ก่อนจะมารวมชาติอิตาลี มีจิตวิญญาณนับพันปีซุกซ่อนอยู่ทุกอณูเมือง มีโอกาสคงได้เล่าในคราวต่อไป

ห้วงชีวิตในอิตาลีใต้ยังคงอยู่ในห้วงคะนึง แม้ระหว่างนั่งเครื่องบินแอร์บัส A350-900 XWB ที่บินสุดเงียบนิ่งกลับประเทศไทย เราเอ็นจอยกับอาหารไทยที่เสิร์ฟตรงหน้าด้วยเมนู แกงเขียวหวานกุ้ง ลาบไก่ ต้มยำน้ำใส ถั่วลันเตาผัดเห็ดหอม ข้าวหอมมะลิอุ่น ๆ ทว่ากลิ่นอายอิตาเลียนแพสชั่น ยังคงฝังภาพบรรยากาศสนุกสนาน เสียงหัวเราะ สีสันของเมดิเตอร์เรเนียนที่ติดอยู่ในความทรงจำยามเช้าของกรุงเทพฯ เมื่อล้อกำลังจะลงแตะรันเวย์สุวรรณภูมิอย่างสมบูรณ์แบบ