พิมรี่พาย-ท็อป บิทคับ คนมีของ…ร้อนแรงแห่งปี

2คน

ตลอดปี 2564 ทั้งสื่อออนไลน์-ออฟไลน์ ต่างพุ่งเป้านำเสนอการเคลื่อนไหวของ 2 บุคคลแห่งปี “พิมรี่พาย” และ “ท็อป บิทคับ” นักธุรกิจรุ่นใหม่ที่อายุเท่ากันคือ 31 ปี ผู้สร้างเส้นทางของตัวเองจนสำเร็จ และถูกกล่าวขานในวงกว้าง ทั้งด้านบวกและด้านลบ

นับเป็นแรงกระเพื่อมที่น่าจับตา “ประชาชาติธุรกิจ” ฉบับส่งท้ายปี 2021 ถือโอกาสโหนกระแสไปกับเขาและเธอ ท่ามกลางการขับเคลื่อนธุรกิจในโลกใบใหม่ที่ท้าทาย

แม่ค้าออนไลน์พันล้าน

คนไทยอาจคุ้นกับประโยค “อายุน้อยร้อยล้าน” แต่สำหรับเธอคนนี้ต้องพันล้าน เพราะเป็นแม่ค้าออนไลน์ที่มี “จุดขาย” โดดเด่น ทั้งหน้าตา คำพูด และการแต่งกาย

สามารถพลิกจุดสนใจ สร้างตลาดได้ถูกจริตกับคนซื้อ ตลาดกลาง-ล่าง ชาวบ้านธรรมดา แม้แต่เด็ก ๆ ก็เรียกชื่อ “พี่พิม ๆ” อย่างสนิท

ทุกไลฟ์สดของ “พิมรี่พาย” จึงเป็น talk of the town ขณะที่ “ท็อป-บิทคับ” เป็น talk of the word ที่จับตลาดบน คนรวย และมีความรู้

“พิมรี่พาย” เป็นสาวชาวใต้ หน้าตาคมเข้ม มีชื่อจริงที่อ่านยากว่า “พิมรดาภรณ์ เบญจวัฒนะพัชร์” ชื่อเดิม “จิตรา สนองเกียรติ” เกิดปี 2533 ปีเดียวกับ “ท็อป-บิทคับ” ปัจจุบันอายุ 31 ปี พ่อเป็นคนชุมพร แม่เป็นคนนครศรีธรรมราช เติบโตในกรุงเทพฯ เคยเรียนโรงเรียนวัดเจ้ามูล และโรงเรียนสหศึกษา

เธอเป็นคน 2 บุคลิก คือชายก็ได้ หญิงก็ดี พื้นฐานเป็นคนใจอ่อน ใจบุญ ใจสู้ แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่เติบโตมาในครอบครัวยากจน ปากกัดตีนถีบ ทำให้เธอมุทะลุ กล้าได้กล้าเสีย เสียงดัง พูดตรง และสู้คน

ที่มาของชื่อ “พิมรี่พาย” นั้น มาจากความชื่นชอบ อมตา จิตตะเสนีย์ แฟชั่นไอคอน-บิวตี้กูรูคนดัง เธอเคยเล่าในช่วงไลฟ์สดว่า ตัวพิมจริง ๆ เป็นคนขยัน ชอบค้าขาย ชอบทำงาน เกลียดคนขี้เกียจ เห็นแก่ตัว และเอาตัวรอด

ใฝ่ฝันอยากเป็นคนเก่ง คนรวย จึงพยายามทำทุกอย่าง ขายทุกอย่างที่จะได้เงิน ขณะเดียวกันช่วงตอนตั้งตัว ได้เจอปัญหาเพจถูกบล็อก ทำให้ต้องเปลี่ยนชื่อเพจ จึงเป็นที่มาของชื่อ “พิมรี่พาย ขายทุกอย่าง” เหมือนถูกโฉลก เพราะคนรู้จักมากขึ้น มีแฟนคลับระดับหมื่นแสนล้าน

อดีตเคยเป็นแม่ค้าตลาดนัดอยู่แถวเลียบด่วน มีเงินหมุนแค่หลักร้อย หลักพัน

ได้เลือดคนค้าขายมาจากพ่อแม่ สั่งสมประสบการณ์มาตั้งแต่เด็ก จุดคลิกของพิมรี่พาย คือ เคยขายของท่ามกลางฝนตก หน้าร้านเซเว่นฯ แล้วมี “ผู้ใหญ่ใจดี” เหมาของของเธอทั้งหมด

เธอเล่าว่า พิมไม่ลืม เหตุการณ์วันนั้น พิมดีใจมาก กำเงินก้อนนั้นแน่น ร้องไห้จนไม่เห็นสายฝนที่ตกลงมา และบอกตัวเอง สักวันหนึ่งถ้าเรารวย เรามีเงิน เราจะทำแบบ “ผู้ใหญ่ใจดี” คนนั้น

นี่จึงเป็นที่มาของการตอบแทนสู่สังคม เป็น “ภาพจำ” แห่งแรงบันดาลใจที่ดี

หลังจับธุรกิจเครื่องสำอางได้ขึ้น โดยใช้อำนาจการต่อรองจากกลุ่มผู้ผลิต ภายใต้จุดแข็งที่มีสมาชิกแฟนคลับระดับแสนเป็นแบ็กอัพ

เมื่อยอดขายพุ่งสูงขึ้น เธอเห็นโอกาสจึงขยายตลาดไลฟ์ขายสินค้าจากเครื่องสำอางมาถึง “น้ำปลาร้า” ยี่ห้อตัวเอง เรียกว่า ขายทุกอย่างจริง ๆ แม้แต่ไม้กวาดถังขยะ และครกหนักเป็นสิบ ๆ โลต่อชิ้น

ช่วงไม่กี่ปี พิมรี่พาย กลายเป็นนักธุรกิจดังในตลาดชาวบ้าน และกลุ่มคนทำงานที่ชอบซื้อของถูก เพราะเธอขายราคาได้ถูก ด้วยอำนาจการต่อรองจากโรงงาน แหล่งผลิต ทั้งจับมือเป็นพันธมิตรกับ “เคอรี่” สร้างเครือข่ายโลจิสติกส์ และลงทุนผลิตกล่องสีขาวแปะแบรนด์ตัวเองเป็นสัญลักษณ์

ที่สำคัญกลุ่มไฮโซที่ชอบของถูกก็เริ่มเอฟซื้อของแบรนด์เนมจากเธอแล้ว โดยเฉพาะน้ำหอมแบรนด์นอกที่มีราคาถูกกว่าห้างเกินกว่า 50-70%

เธอลงทุนพันล้านสร้างโกดังใหญ่เพื่อจัดระบบ “หลังบ้าน” ให้มีมาตรฐาน หลังเกิดข้อร้องเรียนสินค้าไม่ครบ ไม่ได้มาตรฐาน และการส่งสินค้าล่าช้านานนับสัปดาห์

ล่าสุดชื่อเธอดังเป็นพลุแตกจากการไลฟ์สดขาย “กล่องสุ่ม” ราคาถึง 1 แสนบาท ปรากฏว่า มีลูกค้าสนใจซื้อและโอนเงินในพริบตาระดับ 100 ล้าน กลายเป็นข่าวใหญ่ส่งท้ายปี

ที่เซอร์ไพรส์คือพิมรี่พายใช้กลยุทธ์ สุ่มโดยไม่บอก ใส่กุญแจรถใหม่ป้ายแดงแจกให้ลูกค้าฟรีในกล่องนั้นด้วย ทำให้ลูกค้าที่โชคดีรีวิวในโซเชียล กลายเป็น ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ที่ใคร ๆ ก็อยากได้กล่องสุ่มแบบนี้บ้าง

ขณะที่นักวิชาการ ทนาย ส.ส. และหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคอย่าง สคบ. ได้ออกโรงเตือนถึงพฤติกรรมการซื้อขายดังกล่าวอาจเข้าข่ายการพนัน หลอกลวง

ที่หนักสุดคือ การเปิดคลินิกความงามของเธอ สร้างแรงสั่นสะเทือนมากในวงการแพทย์ เพราะมีการแจ้งจับคลินิกที่มี “หมอปลอม” ทำงาน ทำให้เธอตั้งค่าหัว 1 แสน ล่าหมอตามที่เป็นข่าว

ผลกระทบครั้งนี้ เธอยอมรับรุนแรงมาก ทำให้เธอถอย และประกาศปิดคลินิกปรับปรุง

ความในใจของเธอได้กล่าวในรายการวู้ดดี้ที่จะหยุดไลฟ์ 3 ปี เพื่อพาลูกไปเรียนที่ประเทศจีน และเธอจะใช้ชีวิตที่นั่นสักพัก ก่อนจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

แต่ 1 ปีนี้จะขอไลฟ์สดขายทุกอย่างต่อไปก่อน

ยูนิคอร์น Next Gen

ไม่น่าเชื่อ การทำธุรกิจเพียง 3 ปี จะมีอัตราการเติบโตถึง 1,000% แต่ก็เป็นไปแล้วและเกิดขึ้นจริง เมื่อเด็กหนุ่ม “ท็อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” โด่งดังในชั่วพริบตา ในฐานะผู้ก่อตั้ง “บิทคับ” แพลตฟอร์มเทรดเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีชื่อดังของเมืองไทย

พื้นฐานครอบครัวเป็นคนกรุงเทพฯ ค้าขายเสื้อผ้าส่งออกที่ตลาดประตูน้ำ ศึกษาระดับมัธยมที่ประเทศนิวซีแลนด์ โรงเรียน Marlborough Boys College ส่วนมัธยมปลายจบที่โรงเรียน Whanganui Collegiate School บินไปเรียนต่อปริญญาตรี มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ และจบปริญญาโท มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด สาขาเศรษฐศาสตร์อีกเช่นกัน

หลังจบ ป.โท ปี 2556 จิรายุสทำงานเป็นวาณิชธนกรในสถาบันการเงินที่นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เพียง 3 เดือน ก็ย้ายไปซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ทำงานอีกแค่เดือนเดียวก็ลาออก เพื่อสร้างฝันตัวเองในเรื่องบิตคอยน์ โดยเปิดธุรกิจแลกเปลี่ยนสกุลเงินบิตคอยน์ร่วมกับเพื่อนในปี 2556 ที่ฟิลิปปินส์ ในชื่อ Coins.ph และร่วมเปิดศูนย์แลกเปลี่ยน Coins.co.th ในไทย จนกระทั่งปี 2561 เขาได้เปิดบิทคับ ธุรกิจศูนย์แลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี และคริปโทเคอร์เรนซีวอลเลต

โดยก่อตั้ง บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ซึ่งเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่อาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชนทำธุรกิจ

ปี 2562 ได้เป็นกรรมการสมาคมฟินเท็คแห่งประเทศไทย มีบทบาทเกี่ยวกับเงินสกุลดิจิทัลในไทย เดินสายจัดงานประชุมด้านสกุลเงินดิจิทัลและบล็อกเชน ร่วมกับภาครัฐและเอกชน ช่วงนั้นเขาได้รับรางวัล 1 ใน 100 คนของโลกที่มีผลงานเทคโนโลยีบล็อกเชน ร่วมกับ ปรมินทร์ อินโสม ผู้พัฒนา ZCoin

ชื่อของท็อป-จิรายุส เจ้าของกระดานเทรด Bitcoin&Cryptocurrency สตาร์ตอัพพันล้าน ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดการตั้งคำถามมากมายในแวดวงการเงิน สิ่งที่เห็นและสิ่งที่เป็นคือ “แชร์ลูกโซ่” ในโลกใบใหม่หรือไม่ เพราะมีความเสี่ยงและผันผวนสูง ทำให้ ก.ล.ต.ต้องออกโรงเตือน 6 ประเด็น และขอให้นักลงทุนระมัดระวังก่อนตัดสินใจลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี ขณะที่บอร์ด ก.ล.ต.ก็เคยลงดาบ “บิทคับ” ห้ามรับลูกค้าใหม่ จนกว่าจะแก้ไขระบบการซื้อขายให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ มิเช่นนั้น บิทคับอาจไม่ถึงฝั่งฝัน

จนกระทั่งเกิดข่าวใหญ่ 3 พ.ย. 2564 ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ประกาศว่า บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของธนาคาร เข้าซื้อหุ้นในบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (Bitkub) จากบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ด้วยสัดส่วนหุ้น 51% รวมมูลค่า 17,850 ล้านบาท คาดว่าดีลจะแล้วเสร็จในปี 2565

จากดีลใหญ่ของแบงก์ใหญ่ ทำให้ “บิทคับ” ทรงอิทธิพลขึ้นมาทันที

ทันใดนั้น บริษัทใหญ่ ๆ ทั้งกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ห้างค้าปลีก สายการบิน ฯลฯ ก็ขอโดดร่วมธุรกิจกับ “บิทคับ” ทำธุรกรรม ภายใต้บริบทใหม่ครั้งแรกของประเทศไทย อาทิ ศุภลักษณ์ อัมพุช เจ้าแม่ห้างเดอะมอลล์, ชานนท์ เรืองกฤตยา เจ้าพ่อคอนโดฯอนันดาฯ, เศรษฐา ทวีสิน ซีอีโอแสนสิริ ผู้กล้าได้-กล้าเสีย, ตระกูล “พูลวรลักษณ์” ในนาม บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์, บมจ.เอสซี แอสเสท, บางกอกแอร์เวย์ส ฯลฯ

ขณะที่แบงก์ชาติ หรือธนาคารแห่งประเทศไทย แม้ไม่มีอำนาจในการกำกับเรื่องเหล่านี้โดยตรง ก็เริ่มไม่มั่นใจ และเร่งทำการบ้านแบบลงลึกอย่างไม่เคยทำมาก่อน เพราะกระแสคริปโทแรงมาก เป็นแรงกระเพื่อมที่ไม่อาจนิ่งเฉยหรือปฏิเสธได้

“ผมว่าเป็นโอกาสที่ดี และเป็นโอกาสใหญ่สำหรับคนไทยที่จะเริ่มเข้ามาจับเรื่องพวกนี้อย่างจริงจัง ผมมั่นใจ อนาคตเราหนีเรื่องพวกนี้ไม่พ้น ขอให้รีบเรียนรู้ไว้ดีกว่า ถ้าเป็นตอนนี้ยังทัน” จิรายุสกล่าวทิ้งท้าย และฉายภาพอนาคตอีกว่า

เขาเตรียมนำ Bitkub ขยายอาณาจักรบุก 3 ประเทศเพื่อนบ้าน “มาเลเซีย-ฟิลิปปินส์-ลาว” ในปี 2565 เพื่อก้าวสู่การเป็น Coinbase แห่งอาเซียน

ขณะนี้ Bitkub Online กำลังเตรียมจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือจับมือร่วมกับพันธมิตรที่ทำธุรกิจอยู่แล้วในประเทศแถบอาเซียน โดยใช้เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์เดียวกับ Bitkub ภายใต้ยุทธศาสตร์การขยายกิจการสู่ประเทศที่ยังไม่มีเจ้าตลาดชัดเจน

โดยเฉพาะประเทศที่ยังขาดการเข้าถึง “บริการทางการเงิน” ที่มีปริมาณการใช้โซเชียลมีเดียสูง แต่มีศักยภาพที่จะใช้ “คริปโทเคอร์เรนซี” ในการโอนเงิน

แม้ว่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คริปโทเคอร์เรนซี และ NFT จะยังไม่ได้รับการยอมรับมากนักจากทางการและนักวิชาการ แต่อนาคตสกุลเงินดิจิทัลคงเติบโตแน่นอน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป

เพราะทุกการลงทุนคือความเสี่ยง จะเสี่ยงมากเสี่ยงน้อย เสี่ยงสั้นหรือเสี่ยงยาว เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องตัดสินใจเอง ไม่มีใครบังคับ