ราคาน้ำมันดิบ (27 ก.ย. 65) ปรับลด ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นสูงสุดรอบ 20 ปี

ราคาน้ำมันดิบ
Photo : Pixabay

ราคาน้ำมันดิบถูกกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบ 20 ปี

วันที่ 27 กันยายน 2565 หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน บมจ.ไทยออยล์ ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงต่อเนื่อง จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น โดยดัชนีดอลลาร์สหรัฐปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นแตะระดับที่ 114.527 สูงสุดในรอบกว่า 20 ปี

ส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบที่ซื้อขายกันในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ มีความน่าดึงดูดน้อยลง สำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสกุลอื่น

โดยราคาน้ำมันเวสต์เทกซัสซื้อขายเมื่อ 26 ก.ย. 2565 อยู่ที่ 76.71 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง -2.03 เหรียญสหรัฐ และราคาน้ำมันเบรนต์อยู่ที่ 84.06 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง -2.09 เหรียญสหรัฐ

ตลาดยังคงกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอย จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา เพื่อชะลออัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ขณะที่รองประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวถึงปัญหาด้านเงินเฟ้อของยุโรปส่งผลกระทบในวงกว้างมากขึ้น

เนื่องจากราคาอาหารและพลังงานที่ผันผวนอย่างมาก จากผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ย. 65 ของยุโรป ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับที่ 9.6% y-o-y ส่งผลให้ ECB มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง เพื่อชะลออัตราเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวในระดับสูง

สมาชิกของ EU กำลังพิจารณายื่นข้อเสนอมาตรการตรึงราคาแก๊สของรัสเซีย (price cap) ในการประชุมด้านพลังงานของกลุ่ม EU ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 30 ก.ย. 65 นี้ ขณะที่ยังมีบางประเทศสมาชิกไม่เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว เนื่องจากอาจส่งผลให้อุปทานมีแนวโน้มตึงตัวมากขึ้น จากการที่รัสเซียอาจตอบโต้โดยการหยุดส่งออกแก๊สไปยังยุโรป

ราคาน้ำมันเบนซิน

ปรับตัวลดลงน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากตลาดได้แรงหนุนจากอุปสงค์ในอินเดียที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนช่วงเทศกาลดีวาลี (Diwali) อย่างไรก็ตาม ตลาดคาดการณ์อุปทานมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น หลังจีนมีแนวโน้มปรับเพิ่มโควตาการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป

ราคาน้ำมันดีเซล

ปรับตัวลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังตลาดกังวลอุปทานจากจีนมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น หากรัฐบาลอนุมัติโควตาการส่งออก อย่างไรก็ตาม ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลในยุโรปมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาแก๊สที่ปรับตัวสูงขึ้น จากอุปทานที่ตึงตัว ส่งผลให้ผู้บริโภคมีแนวโน้มหันมาใช้น้ำมันแทนแก๊สมากขึ้น