ไทยติดอันดับเป็นตลาด EV เกิดใหม่ พร้อมเป็นฮับแต่อาจพลาดเป้า 1.1 ล้านคันปี’73

รถยนต์ไฟฟ้า
FHOTO : PIXABAY

“อาเธอร์ ดี. ลิตเติล” เผยไทยอยู่อันดับที่ 9 ในด้านความพร้อมของตลาดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ยกให้เป็น “ตลาด EV เกิดใหม่” พร้อมเป็นฮับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า สอดรับนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน คาดปี 2573 ยอดขายเพิ่มจาก 1,572 คันในปี 2563 เป็น 831,161 สูงขึ้นถึง 529 เท่า เตือนไทยอาจพลาดเป้ายอดขายที่ตั้งไว้ 1.123 ล้าน แนะต้องสร้างอุปสงค์และการพัฒนาอุปทานคู่กัน

วันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 นายฮิโรทากะ อุชิตะ ประธานบริหารและผู้อำนวยการประจำอาร์เธอร์ ดี. ลิตเติล ประเทศไทย (ADL) กล่าวในงาน “ติดปีกศักยภาพ ปลดล็อกอุตสาหกรรม ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย” ว่าดัชนีชี้วัดความพร้อมด้านการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าทั่วโลก (Global Electric Mobility Readiness Index-GEMRIX) ของ ADL ที่เปรียบเทียบตลาดยานยนต์ที่สำคัญทั่วโลก

หากประเทศต้องการรักษาตำแหน่ง ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์แห่งเอเชียเอาไว้และดึงเม็ดเงินการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ การพัฒนาอุตสาหกรรม EV จึงมีความสำคัญต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก

เนื่องจากปัจจุบันทั่วโลกกำลังให้ความสนใจเทรนด์การลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ซึ่งขับเคลื่อนโดยเป้าหมายในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการผลิต EV ของตลาดทั่วโลกที่มาแข่งขันกับประเทศตลาดเกิดใหม่ (เช่น ประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน อเมริกาเหนือ และตะวันออกกลาง)

นายอันเดรียส ชลอสเซอร์ พาร์ตเนอร์และประธานบริหารกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกกล่าวว่า ดัชนีชี้วัดความพร้อมด้านการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าทั่วโลก (GEMRIX) ของ ADL ออกแบบมาเพื่อเปรียบเทียบเงื่อนไขตลาดของยานยนต์ EV และยานยนต์สันดาป ในรายงานดังกล่าววิเคราะห์ประเทศทั้งสิ้น 15 ประเทศ โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพิ่มสูงมากขึ้นทั่วโลก และประเทศไทยอยู่อันดับที่ 9 ในด้านความพร้อมของตลาดสำหรับการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า

ซึ่งประเทศไทยได้ประกาศแผนที่มุ่งมั่นในการคว้าส่วนแบ่งตลาด EV ที่เพิ่งเริ่มต้นแต่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนการวางจุดยืนในอุตสาหกรรมยานยนต์ พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการลดการปล่อยมลพิษทางอากาศอีกด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลไทยจะออกมาตรการกระตุ้น และการออกกฎระเบียบเพื่อสนับสนุนการเติบโตของตลาด แต่อัตราการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในไทยยังถือว่าต่ำอยู่

สำหรับความท้าทายหลักของไทยมีอยู่ 5 เรื่องคือ 1.การเปลี่ยนผ่านที่เป็นไปได้ของไทย ในการใช้พลังงานหลายรูปแบบ และการเปลี่ยนฐานของซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนยานยนต์ 2.ความสามารถในการแข่งขันในซัพพลายเชนของแบตเตอรี่ 3.การผลักดันเชิงกลยุทธ์ของไทยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จ 4.ความตระหนักรู้ของลูกค้าไทยเกี่ยวกับความเป็นกลางทางคาร์บอนและ EV 5.ศักยภาพของ EV ไทยในตลาดส่งออก

ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคที่มีศักยภาพสูงในการผลิตยานยนต์ อาทิ อินโดนีเซีย สามารถเข้าถึงทรัพยากรหลักอย่างนิกเกล ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในแบตเตอรี่ลิเทียม นอกจากนี้ ศักยภาพในการส่งออกของไทยในฐานะฮับการผลิตยานยนต์ ก็อาจต้องเจอความท้าทาย เนื่องจากตลาดส่งออกที่มีอยู่เริ่มเปลี่ยนไปใช้ EV จาก OEM และแบรนด์ท้องถิ่นในประเทศของตนเอง

นายอัคเชย์ ปราสาด ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายอุตสาหกรรมยานยนต์และการผลิต อาร์เธอร์ ดี. ลิตเติล ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าวว่า วิวัฒนาการของอุตสาหกรรม EV ไทย จะขึ้นอยู่กับผู้เล่นในอีโคซิสเต็ม เนื่องจากฐานความต้องการในไทยยังมีจำกัด และเงื่อนไขในฝั่งของอุปทานก็ยังไม่น่าพึงพอใจ ด้วยเหตุนี้ผู้เล่นในอุตสาหกรรมต้องร่วมมือกันทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain)

นอกจากนี้ เทรนด์ระบบไฟฟ้าในไทยสร้างโอกาสให้ผู้เล่นท้องถิ่นและสตาร์ตอัพสามารถก่อตั้งแบรนด์ EV ของตนเอง ซึ่งอาจเป็นการพลิกเกมในวงการยานยนต์ไทยในอนาคต ซึ่งจวบจนปัจจุบันยังต้องพึ่งพาแบรนด์และผู้เล่นจากต่างประเทศอยู่

สำหรับศักยภาพของประเทศไทยในตลาด EV รายงานยังได้แสดงภาพรวมของผลการวิเคราะห์สำคัญ จากดัชนีชี้วัดความพร้อมด้านการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าทั่วโลก (Global Electric Mobility Readiness Index (GEMRIX) ของ ADL ประจำปี 2565 โดยมุ่งเน้นที่ตลาดไทย ซึ่งได้รับการจัดประเภทให้เป็นตลาด EV เกิดใหม่ (Emerging EV Market) เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งได้คะแนนระหว่าง 40-60 คะแนน

ทั้งนี้ ADL ยังเห็นศักยภาพมหาศาลสำหรับตลาด EV ในประเทศไทย ด้วยการผลักดันอย่างแข็งขันจากภาครัฐ ผู้เล่นที่มีอยู่จำนวนมากในอีโคซิสเต็ม EV และความมุ่งมั่นของไทยในการทำให้เทรนด์ระบบไฟฟ้าเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ในตลาดปัจจุบันและความเคลื่อนไหวที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ADL เชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ประเทศไทยจะพลาดเป้าการขายยานยนต์ EV ที่ตั้งไว้ 1.123 ล้านคันภายในปี 2573 และมีข้อแนะนำที่จะช่วยให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายในการเปลี่ยนผ่านสู่ EV ได้ด้วยการสร้างอุปสงค์และการพัฒนาอุปทาน

โดยยอดขาย EV ในไทยคาดว่าจะเพิ่มจาก 1,572 คัน ในปี 2563 เป็นราว 831,161 คัน ในปี 2573 ซึ่งสูงขึ้นถึง 529 เท่า คาดว่าอัตราการใช้ EV ภายในปี 2573 จะอยู่ที่ 61,000 คันสำหรับรถยนต์และรถกระบะ 763,000 คันสำหรับรถไฟฟ้า 2 ล้อ และ 7,000 คันสำหรับรถบัสและรถบรรทุก รายงานยังระบุว่าไทยจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับรถ 2 ล้อ แต่จะไม่บรรลุเป้าหมายสำหรับรถยนต์ รถกระบะ รถบัส และรถบรรทุก