Mini FTA ไทย-เสิ่นเจิ้น ฉบับ 7 ตั้งเป้า 2 ปี สร้างเม็ดเงิน 910,000 ล้านบาท

Mini FTA

จุรินทร์ โชว์ฝีมือ จัดมินิเอฟทีเอ (Mini FTA) ไทย-เสิ่นเจิ้น ฉบับ 7 ของไทย ตั้งเป้าปี 2566 โต 5% ภายใน 2 ปี สร้างเม็ดเงิน 910,000 ล้านบาท

วันที่ 1 มีนาคม 2566 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยระหว่างเป็นประธานสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ หรือ Mini FTA ระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งชาติจีน คณะกรรมการเทศบาลเมืองเสิ่นเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าการลงนามครั้งนี้กับเสิ่นเจิ้นถือว่าเป็นฉบับที่ 7 ที่ไทยมี Mini FTA

อย่างไรก็ดี ถัดจากนี้ยังมีกับยูนนาน ที่จะเดินหน้าต่อและที่กำลังจะประสบความสำเร็จคือ 5 รัฐของอินเดีย รวมกับสหราชอาณาจักรและปากีสถาน ถ้าประสบความสำเร็จจะเข้ามาช่วยเสริม FTA ในเชิงลึกมากขึ้น ขณะที่ปัจจุบันไทยมี Mini FTA แล้ว 6 ฉบับ ประกอบด้วย โคฟุ ปูซาน คยองกี เตลังกานา และของจีน 2 ฉบับ คือ ไห่หนานและกานซู

Mini FTA

“ตนเห็นว่าความร่วมมือเขตเสรีทางการค้าฉบับใหญ่ หรือ FTA ยังไม่พอ เป็นภาพกว้าง ภาพรวม ถึงเวลาที่เราต้องใช้นโยบายเชิงลึก เชิงรุกทำการค้าการลงทุนร่วมกัน ลงลึกรายมณฑล รายรัฐ เพราะบางรัฐบางประเทศใหญ่กว่าประเทศไทย จึงเกิด Mini FTA ขึ้น”

ทั้งนี้ การทำ Mini FTA กับบางมณฑลของจีน เป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้า บางมณฑลจีดีพีมากกว่าประเทศไทย และเสิ่นเจิ้นที่ได้ลงนามวันนี้ มีจีดีพีเกือบเท่าไทย เชื่อจะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนที่เป็นรูปธรรมที่สุดรูปแบบหนึ่ง ถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของทั้ง 2 ฝ่ายด้วย

เสิ่นเจิ้นเป็นเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของจีน รองจากเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง เป็นเมืองยุทธศาสตร์เชื่อมมณฑลกวางตุ้ง ฮ่องกง และมาเก๊า เป็นศูนย์รวมเศรษฐกิจด้านตะวันออกเฉียงใต้ของจีน (Greater Bay Area) เป็นที่รวมของธุรกิจใหม่ ที่รวมของนวัตกรรม เทคโนโลยี และเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของจีน จะมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันได้มหาศาลในอนาคต

Mini FTA

“ปี 2565 มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับเสิ่นเจิ้น มีมูลค่า 868,000 ล้านบาท ตั้งเป้าร่วมกันหลังมี Mini FTA ภายใน 2 ปีที่ (2566-2567) จะทำให้มูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5% ตั้งเป้าเพิ่มอีก 43,000 ล้านบาท ในปี 2566-2567 เป็น 910,000 ล้านบาท”