นักธุรกิจจีนเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย ชง 4 ข้อเสนอแนะรัฐบาลใหม่

นักธุรกิจจีน

ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีน ไตรมาส 2/2566 ครั้งแรกหลังจีนเปิดประเทศ เอกชนมั่นใจเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัว คาดนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทย 7-8 ล้านคน เร่งให้ปรับปรุงบริการการเข้าเมืองสนามบิน เพิ่มเที่ยวบินมากขึ้น

นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน เปิดเผยว่า หลังจากที่ประเทศจีนประกาศเปิดประเทศเมื่อวันที่ 8 มกราคม และวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 รัฐบาลจีนได้บรรจุประเทศไทยเป็น 1 ใน 20 รายชื่อประเทศนำร่องชุดแรกที่อนุญาตให้บริษัทนำเที่ยวจัดกรุ๊ปทัวร์นำนักท่องเที่ยวจีนเดินทางออกเที่ยวต่างประเทศได้ การกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนนับเป็นสัญญาณบวกและมีนัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ซึ่งก่อนการระบาดของโควิด ภาคการท่องเที่ยว มีสัดส่วน 18-20% ต่อจีดีพีของประเทศไทย

โดยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นจากการสำรวจธุรกิจจีน 300 คน ระหว่างวันที่ 16-20 กุมภาพันธ์ 2566 พบว่าผู้ตอบการสำรวจ 49.3% คาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะมาเยือนไทยระหว่าง 7-8 ล้านคน ซึ่งเกินเป้ากว่าที่ทางการคาดไว้

“เดือนมกราคม 2566 นี้ มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาประเทศไทยแล้ว 91,841 คน หากมีการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินระหว่างไทยและเมืองสำคัญ ๆ ของจีน คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาประเทศไทยประมาณ 8 ล้านคน เฉลี่ยวันละ 22,000 คนในปีนี้ หากเพิ่มเที่ยวบินได้ถึง 200 เที่ยวต่อวัน”

ดังนั้น ยังพบว่าเพื่อให้นักท่องเที่ยวจีนมามากขึ้น ไทยจะต้องมีการปรับปรุงอย่างเร่งด่วนในหลายด้าน เพื่อรองรับและดึงดูดนักท่องเที่ยวจีน โดยมีประเด็นหลักที่ต้องเร่งแก้ไข 5 ประการ คือ การปรับปรุงการให้บริการการเข้าเมืองและอำนวยความสะดวกที่สนามบิน และการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินระหว่างไทยและจีน การจัดทำมาตรการทางด้านความสะอาดและความปลอดภัยในการเดินทางในประเทศ การจัดเตรียมความพร้อมของโรงแรมและระบบการขนส่งให้คล่องตัวมากขึ้น และการจัดให้มีศูนย์ประสานงานเพื่ออำนวยความสะดวกและแก้ปัญหาให้กับนักท่องเที่ยวจีนโดยเฉพาะ เช่น สามารถสื่อสารและให้ข้อมูลเป็นภาษาจีนได้

โอกาสที่นักธุรกิจจากหอการค้าไทยจีนจะเดินทางไปติดต่อธุรกิจในจีน พบว่า 23.2% จะเดินทางไปติดต่อธุรกิจภายในเดือนมีนาคม 30.7% จะเดินทางไปในไตรมาส 2 และ 11.1% จะเดินทางไปยังครึ่งปีหลังของปีนี้ โดยส่วนใหญ่ 67% ได้วางแผนที่จะเดินทางไปติดต่อธุรกิจในจีนเป็นที่เรียบร้อยในปีนี้

ความมั่นใจในเศรษฐกิจไทยที่จะฟื้นก่อนสิ้นปี 2566 เกือบทุกคน 91.8% มีความมั่นใจในการฟื้นตัวในปีนี้ โดยพบว่า 34.6% มีความมั่นใจมาก 8.6% มีความมั่นใจมากที่สุด ขณะที่ 48.6% มีความมั่นใจมากพอควร โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะขยายตัว 3.3-3.5%

สำหรับแผนการลงทุนและจ้างงานในปี 2566 พบว่า 30% จะมีการลงทุนใหม่และมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 39.3% จะมีการลงทุนใหม่แต่ยังไม่เพิ่มจำนวนการจ้างงาน และอีก 28.6% ยังประกอบกิจการเช่นเดิมและมีการจ้างงานจำนวนเดิม

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงในการทำธุรกิจในปี 2566 พบว่ามาจากปัญหาภายในประเทศ คือ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีผลต่อค่าครองชีพ หนี้สินของครัวเรือนและหนี้เสียของสถาบันการเงินมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และการขาดแคลนแรงงานและอัตราค่าจ้างแรงงานมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ คือ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และการชะลอตัวของการส่งออกจากเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย

นักธุรกิจหอการค้าไทยจีนมีความเห็นว่า ในปี 2566 รัฐบาลควรมีมาตรการทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อที่จะฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจไทย 4 มาตรการ ดังนี้ (1) มาตรการแก้ไขการขาดแคลนแรงงาน และการดึงคนไทยให้กลับเข้ามาสู่ตลาดแรงงาน (2) มาตรการสนับสนุนการสร้างธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี (3) มาตรการที่ควบคุมราคาสินค้าและบริการ เพื่อดูแลค่าครองชีพและรวมถึงการเพิ่มสวัสดิการที่ภาครัฐจัดให้ประชาชน และ (4) มาตรการใหม่ ๆ เพื่อส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งนี้ 4 ข้อเสนอดังกล่าวนี้ ได้นำเสนอผ่านหน่วยงานภาครัฐและรัฐบาลแล้ว รวมถึงอยากให้รัฐบาลใหม่เห็นความสำคัญนี้ด้วย

นายณรงค์ศักดิ์กล่าวอีกว่า การคาดการณ์ในไตรมาส 2 โดยเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้ 60.4% สมาชิกหอการค้าไทยจีนและสมาพันธ์หอการค้าไทยจีนเห็นว่าเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนโดยรวมของจีนดีขึ้น และ 62.1% มีความเห็นว่าการส่งออกของไทยไปยังจีนจะเพิ่มขึ้น และ 63.6% คาดว่าจะมีการลงทุนจากจีนในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์เศรษฐกิจจีนที่เริ่มกลับมาดี

ขณะเดียวกัน 65% คาดว่าไทยจะนำสินค้าจากจีนเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน และความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนนั้นยังมีความแนบแน่นอย่างใกล้ชิด

และในการสำรวจความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ของปีนี้พบว่า 60% ของผู้ตอบการสำรวจ มีความมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น และ 29.3% คิดว่าเศรษฐกิจไทยยังทรง ๆ เช่นเดิม จากแนวโน้มดังกล่าว 49.3 % คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯจะปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่ 35.7% คิดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากไตรมาสแรกปีนี้ สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนนั้นพบว่าผู้ตอบมีความเห็นที่แตกต่างกัน จึงไม่สามารถสรุปผลได้ว่าการคาดคะเนอัตราแลกเปลี่ยนจะเปลี่ยนไปในทิศทางใด