ทาทาสตีล มั่นใจเลือกตั้งหนุนธุรกิจก่อสร้างคึกคักครึ่งปีหลัง ความต้องการใช้เหล็กพุ่ง

ิิเหล็ก - ทาทา สตีล (ประเทศไทย)

ทาทาสตีล มั่นใจเลือกตั้ง 14 พ.ค. หนุนธุรกิจก่อสร้างคึกคักครึ่งปีหลัง ดันความต้องการใช้เหล็กพุ่ง เตรียมแผนผลิตสินค้าผสม-สินค้าดาวน์ สตรีม ตอบโจทย์ลูกค้าก่อสร้าง ส่วนภาพรวมธุรกิจปี 2566 ปริมาณขายเหล็กหด 9% แต่ยอดส่งออกพระเอกช่วยพลิกทำไรได้

วันที่ 10 พฤษภาคม 2566 นายตารุณ คูมาร์ ดากา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทาสตีล (ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มการใช้เหล็กของประเทศไทยมีโอกาสจะเพิ่มสูงขึ้น หลังจากการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้จะทำให้การเดินหน้านโยบายต่าง ๆ เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้ปริมาณความต้องการใช้เหล็กเพิ่มสูงขึ้น

ประกอบกับเปิดประเทศทำให้ภาคการท่องเที่ยวเติบโต การเข้ามาของนักลงทุนในโครงการใหม่ เช่น การก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งหมดนี้จะทำให้การก่อสร้างของไทยคึกคักขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะส่งผลดีกับยอดขายของบริษัทน่าจะประเมินได้อีกครั้งในไตรมาสต่อไป

ตารุณ คูมาร์ ดากา
ตารุณ คูมาร์ ดากา

“ตอนที่ประเมินในช่วงปลายปี 2565 มองว่าการก่อสร้างน่าจะดี ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกการบริโภคเหล็กสำเร็จรูปของไทยมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น 12.5% แต่พอผ่านเมษายนมาจะเห็นว่าการใช้เหล็กก่อสร้างโครงการใหม่ลดลงตั้งแต่เดือนมีนาคม ที่มีมูลค่าการลงทุน 34,412 ล้านบาท เมษายน 23,627 ล้านบาท พฤษภาคม 15,576 ล้านบาท ซึ่งอาจจะเป็นเพราะภาครัฐมีการเปลี่ยนผ่านการเลือกตั้งผลก็เลยทำให้โครงการต่าง ๆ ชะลอตัว แต่หลังเลือกตั้งผ่านไปน่าจะดีขึ้น ถ้าผ่านช่วงนี้ไปแล้วการก่อสร้างก็น่าจะกลับมาเติบโตในช่วงครึึ่งปีหลัง เช่นเดียวกับปัจจัยเรื่องค่าไฟฟ้าตอนนี้เริ่มผ่อนคลายลงมาบ้างแล้ว”

สำหรับภาพรวมของธุรกิจ ในปีงบประมาณ 2566 (อินเดียจะสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2566) ปริมาณการขายอยู่ที่ 1.29 ล้านตันลดลง 9% แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี หากเทียบกับภาพรวมปริมาณการใช้เหล็กทั้งประเทศไทยที่ลดลง 12.21%

โดยบริษัทสามารถชดเชยยอดขายในประเทศที่ลดลงได้ด้วยการส่งออกเพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยส่งปีละ 130,000 ตันก็เพิ่มเป็น 174,000 ตัน ซึ่งในปีนี้บริษัทก็ยังมองว่ามีโอกาสที่จะขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ตลาดหลักจะอยู่ในกลุ่มประเทศอาเซียนอเมริกาเหนือและแคนาดา ส่งผลให้ EBITDA บริษัทสามารถพลิกกลับมาบวก 108 ล้านบาท ในไตรมาส 4 (ปีงบอินเดีย) ม.ค.-มี.ค. 2566 จากที่ขาดทุน 9 ล้านบาท

ขณะที่ภาพรวมผลประกอบการในไตรมาส 4 (ม.ค.-มี.ค. 2566) ปีงบประมาณ 2566 ของอินเดีย มีปริมาณการขายอยู่ที่ 311, 000 ตันเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเป็นผลมาจากปริมาณการขายเหล็กเส้นในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นจากความต้องการใช้เหล็กในประเทศที่สูงขึ้น 12.5% แต่หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณ 340,000 ตัน คิดเป็นอัตราลดลง 8%

โดยรายได้จากการขายในไตรมาส 4 เท่ากับ 7,438 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มียอดขาย 6,909 ล้านบาท แต่ปรับลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่เคยมียอดขาย 8,704 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มปี 2566 ตลาดเหล็กจะได้รับปัจจัยบวก มาจาก จีนมีการเปิดประเทศต้นปี 2566 นับจากที่ปิดในช่วงโควิดทำให้การผลิตเหล็กของจีนในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น 6.1% แต่หลังจากนี้ยังต้องจับตามองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จีน อาจจะไม่ฟื้นตัวสูงตามที่คาดการณ์ซึ่งอาจจะทำให้แนวโน้มของราคาเหล็กในช่วงเดือนเมษายนเป็นต้นไปปรับตัวลดลง ขณะที่สถานการณ์โควิดเริ่มลดน้อยลงทั้งจำนวนผู้ป่วยและความรุนแรงส่งผลดีต่อภาพรวมของการทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวมีนักท่องเที่ยวเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น

อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยลบซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าปีนี้ปัญหาเรื่องความขัดแย้งในรัสเซียยูเครนส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานให้ปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนภาวะเงินเฟ้อซึ่งส่งผลให้หลายประเทศมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะส่งผลต่อกำลังซื้อ

นายตารุณ คูมาร์ ดากา กล่าวว่าจากปัจจัยบวกลบที่เราประเมิน ทำให้บริษัทได้มีการวางแผนเพื่อรองรับความท้าทาย ที่จะเกิดขึ้นโดยมุ่งใน 3 แนวทาง คือ 1) ส่งเสริมการผลิตสินค้าผสม (Product mix) ซึ่งจะเป็นการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดเน้นสินค้าที่มีการแข่งขันยังไม่สูงและมีราคาจำหน่ายที่ดี

2) การพัฒนาสินค้ากลุ่มดาวสตรีม มากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในปัจจุบันที่ต้องการใช้สินค้าที่สำเร็จรูปเพื่อลดเวลาและลดต้นทุนในการก่อสร้าง

3) การผลักดันการส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ ซึ่งขณะนี้บริษัทได้เตรียมแผนการขยายตลาดใหม่ไว้แล้วโดยจะต้องเตรียมความพร้อมทั้งในเรื่องของการขออนุญาต และดูแลเรื่องมาตรฐานให้เป็นไปตาม ตามกฎระเบียบของประเทศนั้น

พร้อมกันนี้บริษัทยังมีแนวทางในการบริหารจัดการ เพื่อลดต้นทุนทางด้านพลังงาน 2 ด้าน ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการเพิ่มใช้กำลังการผลิต (Utility) ในช่วงค่าไฟฟ้าออฟพีกให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

พร้อมกันนี้ยังมีการลงทุนติดตั้ง solar rooftop เพื่อผลิตไฟฟ้าขนาด 14 เมกะวัตต์ในปีนี้เพื่อลดต้นทุนทางด้านพลังงานด้วย