ทาทา สตีล กำเงินสด-บริหารสต๊อก ตลาดเหล็กโลกสวิง เงินเฟ้อ-ค่าไฟพุ่ง

ตาลุน คูมาร์ ดากา TATA
ตาลุน คูมาร์ ดากา

ตลาดเหล็กผันผวนหนัก “ทาทา สตีล” หวั่นเศรษฐกิจโลก เงินเฟ้อทุบกำลังซื้อ ปี’66 ลุ้นการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์รัฐใน EEC ช่วยพยุง 9 เดือนแรกปี’65 ยอดขายหด 10% ต้นทุนไฟฟ้าพุ่ง 60% เร่งปรับแผนติดตั้งลงทุนโซลาร์รูฟใน 3 โรงงาน ขนาด 14 เมกะวัตต์ เพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนหลังค่าไฟพุ่ง กอดเงินสด-บริหารสต๊อกลดความเสี่ยง

นายตาลุน คูมาร์ ดากา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวยอมรับว่า ภาพรวมการใช้เหล็กในปี 2566 ประเมินค่อนข้างยาก ซึ่งยังต้องรอดูหลายปัจจัย เนื่องจากเศรษฐกิจโลกและของไทยเองยังคงมีแนวโน้มการชะลอตัวอยู่ โดยเฉพาะประเทศจีนที่เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้รายใหญ่ของโลก ที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตามที่คาดไว้ ขณะเดียวกันโลกยังต้องเผชิญกับเงินเฟ้อ

ในส่วนของไทยเองยังมีปัญหาจากต้นทุนพลังงาน ในส่วนของค่าไฟฟ้าที่ปรับเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าอาจเป็นส่วนที่ส่งผลกระทบต่อการใช้เหล็ก ดังนั้นในช่วงไตรมาส 4 (ม.ค.-มี.ค. 2566) ทาทาฯจะประเมินตัวเลขภาพรวมของการใช้เหล็ก และแนวโน้มของอุตสาหกรรมเหล็กของทั้งปี 2566 อีกครั้ง

อุตสาหกรรมเหล็กในอนาคตระยะสั้น ยังคงได้รับผลกระทบจากค่าเงินที่ผันผวนอย่างมาก เงินบาทแข็งค่าถึง 12% ช่วงเดือน พ.ย. 2565 มีความผันผวน 7-8% และยังคงผันผวนเรื่อยมา กระทบต่อภาคการส่งออก แม้จะพยายามสร้างสมดุลทั้งตลาดส่งออกและขายในประเทศ แต่ทาทาฯเองก็ยังคงต้องโฟกัสไปที่สัดส่วนการส่งออกอยู่เช่นเดิม โดยเฉพาะตลาดหลักอย่างอินเดีย นิวซีแลนด์ เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศก็ยังไม่ฟื้นอย่างที่คาด

“การบริหารงานในช่วงสถานการณ์ที่ผันผวนแบบนี้ ทาทาฯจำเป็นต้องเก็บเงินสดไว้ให้เพียงพอ ควบคู่ไปกับการบริหารคลังสินค้าให้อยู่ในระดับต่ำ บาลานซ์บริหารต้นทุนค่าไฟฟ้าให้ดี ขณะเดียวกันต้องเพิ่มประสิทธิภาพของสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าและตลาด เช่น ผลิตเหล็กที่มีความยืดหยุ่นสูง ทนต่อแรงต้านทาน

ซึ่งปัจจุบันทาทาฯผลิตเหล็กที่ครอบคลุมหลายประเภท ทั้งเหล็กข้ออ้อยเป็นเหล็กที่มีแรงยึดที่ผิวสูง เหมาะสำหรับงานคอนกรีตเสริมเหล็กที่ต้องการความแข็งแรงสูง เหล็กเส้นกลมใช้ในภาคการก่อสร้างด้านเสริมคอนกรีต เช่น คาน เสา พื้นของถนน เหล็กเส้น เหล็กลวดคาร์บอนต่ำ เหล็กรางน้ำ เหล็กลวดคาร์บอนต่ำ CO2 เป็นต้น”

สำหรับปี 2565 ผลประกอบการ 9 เดือน (เม.ย.-ธ.ค. 2565) ของทาทาฯ มียอดขายรวมทั้งสิ้น 900,000 ตัน ลดลงกว่า 10.33% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (เม.ย.-ธ.ค. 2564) ซึ่งมียอดขายอยู่ที่ 993,000 ตัน ขณะที่รายได้อยู่ที่ 23,886 ล้านบาท ลดลง 2.69% จากปีก่อนอยู่ที่ 23,260 ล้านบาท และกำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่ 572 ล้านบาท ลดลงถึง 312% จากปีก่อนอยู่ที่ 2,358 ล้านบาท

โดยเป็นผลจากปีก่อนภาพรวมการใช้เหล็กทั้งประเทศเหลือ 16,393 ล้านตันเท่านั้น ลดลงถึง 12% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ซึ่งมีการใช้เหล็กอยู่ที่ 18,673 ล้านตัน สาเหตุสำคัญยังคงมาจากเศรษฐกิจที่ชะลอ ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 โครงการก่อสร้างทั้งภาครัฐและเอกชนล่าช้า และต้องยอมรับว่าต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ปรับขึ้น กระทบถึง 60% ส่งผลให้ทาทาฯต้องปรับแผนการดำเนินงานใหม่

ด้วยการลงทุนเพิ่มสัดส่วนในการหันมาใช้พลังงานทดแทน ล่าสุดได้อนุมัติโครงการลงทุนติดตั้งโซลาร์บนหลังคาขนาด 14 เมกะวัตต์ ใน 3 โรงงาน ซึ่งคาดว่าจะเสร็จภายในเร็ว ๆ นี้ เป็นการพยายามปรับตัวรับมือกับปัญหาต้นทุนค่าไฟฟ้า แต่เป็นผลบวกต่อการใช้พลังงานกับอุตสาหกรรมเหล็กอย่างมาก แม้ว่าแนวโน้มค่าไฟผันแปร (Ft) รอบใหม่ (งวด 2) อาจปรับลดลงก็ตาม

ซึ่งที่ผ่านมา ทาทาฯ เองยังไม่สามารถปรับขึ้นราคาสินค้าได้ เพราะจะส่งผลต่อการแข่งขันที่ค่อนข้างลำบาก แนวทางปรับตัวด้วยการลงทุนพลังงานทดแทน จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดเหล็กปีนี้ จีนจะยังเป็นผู้ผลิตและผู้ใช้รายใหญ่ของโลก แม้ว่าปี 2565 ภาพรวมการใช้เหล็กของจีนจะลดลงเหลือ 1,027 ล้านตัน แต่ลดลงเพียง 0.5% เท่านั้น ในส่วนของการผลิตก็ลดลงเพียง 0.3% เนื่องจากจีนมีนโยบายควบคุมผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

แต่ขณะเดียวกันยังมีแนวโน้มว่ากำลังการผลิตในกลุ่มประเทศอาเซียนจะเพิ่มกำลังการผลิตเข้ามาในตลาด อีกประมาณ 75 ล้านตัน ทั้งจากฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย เมียนมา และกัมพูชา ซึ่งการเพิ่มในส่วนนี้กลับส่งผลดีทางด้านการแข่งขันของราคา เพราะจะสร้างความบาลานซ์ราคาจากเหล็กจีน ที่เดิมเป็นผู้คุมราคาอยู่

“ส่วนตลาดในประเทศ หวังว่าเศรษฐกิจปีนี้จะฟื้นจากภาคการท่องเที่ยว การลงทุนที่เพิ่มขึ้นทั้งของรัฐและเอกชน อย่างโครงการที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นความหวังเพราะเริ่มเห็นการเดินหน้าอยู่ และเชื่อว่าหลังการเลือกตั้งเมื่อได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศแล้วนั้น จะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีอัตราการเติบโตได้ดีกว่ารัฐบาลชุดเดิม

ซึ่งระหว่างการจัดตั้งรัฐบาล จะมีช่วงสุญญากาศอยู่ ช่วงนี้ไทยยังต้องเจอกับการชะลอตัว เราก็ต้องประคองตัวเอง ต้องปรับตัวเพราะมันคือช่วงที่ตลาดโลกถดถอย ตอนนี้ช่วงไฟออฟพีกเราต้องเร่งผลิตให้มาก ส่วนช่วงออนพีกก็ผลิตให้น้อยลง มุ่งทำตามแผนที่วางไว้ รอจนกว่านโยบายรัฐบาลชัดเจน ซึ่งก็เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงน่าจะส่งผลที่ดีขึ้นในทุกส่วนตามมา”

ในส่วนของราคาเหล็กมีแนวโน้มขยับขึ้น ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2566 เป็นต้นไป สาเหตุสำคัญจากปริมาณสินค้าคงคลังที่ผลิตในช่วงหน้าหนาวที่เพิ่มขึ้น ด้วยจีนออกนโยบายส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ บวกกับแรงกดดันด้านราคาพลังงาน โดยล่าสุดสมาคมเหล็ก แจ้งราคาเหล็กเส้น 25-26 บาท/กก. เหล็กข้ออ้อย 23-24 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ราคาเฉลี่ย 18-20 บาท/กก.