บ้านปู ไตรมาส 1 รายได้ 44,489 ล้าน เพิ่มขึ้น 4% เดินหน้าธุรกิจอีโมบิลิตี้-แบตเตอรี่

บ้านปู

บ้านปูไตรมาส 1 รายได้ 44,489 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% ยังคงสร้างกระแสเงินสดดีต่อเนื่อง แม้ราคาพลังงานโลกผันผวน เดินหน้าสร้างการเติบโตในธุรกิจอีโมบิลิตี้และแบตเตอรี่ สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและเสริมแกร่งอีโคซิสเต็มของบ้านปู พร้อมรับมือความผันผวนของราคาพลังงานในตลาดโลก บนความยืดหยุ่น คล่องตัว โดยให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพการดำเนินงานและการบริหารต้นทุนอย่างรอบคอบ

วันที่ 12 พฤษภาคม 2566 บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2566 มีรายได้จากการขายรวม 1,312 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 44,489 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,989 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา

โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 467 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 15,837 ล้านบาท) ลดลง 22% จากปีก่อน โดยบริษัทยังคงสามารถสร้างกระแสเงินสดที่ดี อันเป็นผลจากความสามารถในการบริหารจัดการสินทรัพย์และโครงการต่าง ๆ ให้ดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง บนความยืดหยุ่น คล่องตัว ท่ามกลางความผันผวนของราคาพลังงาน ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนตามกลยุทธ์ Greener & Smarter

สมฤดี ชัยมงคล
สมฤดี ชัยมงคล

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาสนี้บ้านปูรุกกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ทั้งการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นดูราเพาเวอร์ (Durapower) เป็น 65.1% และการลงทุนในโครงการแบตเตอรี่ฟาร์มขนาดใหญ่อิวาเตะ โตโนะ (Iwate Tono) โดยมีกำลังการกักเก็บพลังงานไฟฟ้ารวม 58 เมกะวัตต์ชั่วโมง ซึ่งโครงการนี้เราได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อตอบสนองเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์

นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในบริษัทบริการเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน และโซลูชั่นสลับแบตเตอรี่สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า

การขยายการเติบโตทั้งธุรกิจกักเก็บพลังงาน และธุรกิจอีโมบิลิตี้ ที่ถือว่าเป็นความเคลื่อนไหวสำคัญของบ้านปูในครั้งนี้ จะช่วยเสริมแกร่งอีโคซิสเต็มของบ้านปูในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และเป็นหลักประกันที่แสดงให้เห็นการเติบโตที่ต่อเนื่องและการขยายห่วงโซ่คุณค่าทางธุรกิจของบริษัทเรือธง บ้านปู เน็กซ์ ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบ้านปูได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2566 ของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก มีรายละเอียดดังนี้

กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน ธุรกิจเหมือง ยังคงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้เป็นอย่างดี ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ดำเนินมาตรการเพื่อให้การผลิตมีประสิทธิภาพ เพื่อคงความสามารถในการสร้างรายได้และกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง มีการควบคุมต้นทุน การใช้เครื่องมือทางการเงิน เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ผันผวน อันเนื่องจากสภาพอากาศในสหรัฐอเมริกาที่ไม่ได้หนาวรุนแรงอย่างที่คาดการณ์ไว้

กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน ยังคงรักษาประสิทธิภาพการผลิตได้ดีตามแผน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าเอชพีซี ใน สปป.ลาว สามารถมีค่าความพร้อมจ่าย EAF ที่สูงถึง 96% โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในจีน สามารถสร้างกำไรแม้จะได้รับผลกระทบจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น ด้านธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในจีน ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย มีผลประกอบการที่ดีจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และมีค่าความเข้มของแสงที่สูง

กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน สร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยขยายธุรกิจโซลาร์หลังคาและโซลาร์ลอยน้ำในหลากหลายประเทศในทวีปเอเชีย-แปซิฟิก รวมกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมด 217 เมกะวัตต์ ขยายธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน ในโครงการฟาร์มแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ กำลังการผลิต 58 เมกะวัตต์ ที่เมืองโตโนะ (Tono) จังหวัดอิวาเตะ (Iwate) ในญี่ปุ่น

คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2568 เพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน Durapower จากร้อยละ 47.7 เป็นร้อยละ 65.1 และลงทุนใน Green Li-on ผู้ให้บริการเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ไปจนถึงการลงทุนภายใต้ธุรกิจ e-Mobility ในโอยิกะ (Oyika) ผู้ให้บริการโซลูชั่นสลับแบตเตอรี่สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ซึ่งมีบริการครอบคลุมหลากหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“ปี 2566 เป็นปีที่บ้านปูก้าวสู่ปีที่ 40 เรายังเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งของระบบนิเวศธุรกิจของบ้านปู โดยยึดมั่นในหลักการ ESG ในทุกการดำเนินงาน เรามุ่งเน้นการลงทุนธุรกิจที่รองรับอัตราการเติบโตที่สูงในระยะยาว สร้างทั้งคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย และที่สำคัญคือมีส่วนสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับทุกคนตามที่เราตั้งใจไว้” นางสมฤดีกล่าว