
บ้านปู เพาเวอร์ เปิดแผนธุรกิจปี 2566-2568 ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า 5,300 เมกะวัตต์ เผยดีลใหญ่จ่อปิดเร็ว ๆ นี้ อีกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ถายใต้เงินลงทุน 500-700 ล้านเหรียญ มองโอกาสขยายสู่ธุรกิจ Nes S-Curve ทั้งไฮโดรเจน-CCS
วันที่ 16 มีนาคม 2566 นายกิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP แผนงานปี 2566-2568 จะขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทาง “Triple E” ได้แก่ 1.Ecosystem : มุ่งสร้างเมกะวัตต์คุณภาพด้วยสมดุลของพอร์ตธุรกิจทั้งจากพลังงานความร้อน (Thermal Power Business) พลังงานหมุนเวียน (Renewable Power Business) และเทคโนโลยีพลังงาน (Energy Technology)

2.Excellence : รักษาเสถียรภาพการผลิตควบคู่ไปกับประสิทธิภาพความพร้อมจ่ายไฟ (EAF) และเน้นการสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอ และเพิ่มโอกาสทำกำไรในตลาดที่มีการเติบโตและมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง
3.ESG : ดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับหลักความยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ สู่เป้าหมายในการเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า 5,300 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568 ซึ่งในจำนวนนี้มีเป็นกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียน 800 เมกะวัตต์
และส่วนที่จะเติมเข้ามาในปีนี้ คือการที่บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อเข้าซื้อโรงไฟฟ้าจำนวนหลายแห่ง โดยมีกำลังการผลิตรวมกันมากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถปิดดีลในปี 2566 โดยเตรียมเงินลงทุนไว้ที่ 500-700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
“เรายังคงมองหาโอกาสในการขยายการเติบโตไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ซึ่งนอกเหนือจากการประสบความสำเร็จในการลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I แล้ว ยังพิจารณาขยายการลงทุนเพิ่มเติม เช่น ธุรกิจซื้อขายไฟฟ้าผ่านแพลตฟอร์มระบบกลาง (Energy Trading) และธุรกิจค้าปลีกไฟฟ้า”
“โดยเป็นการผนึกพลังร่วมภายในระบบนิเวศของ BPP ด้วยการใช้ความรู้และทรัพยากรภายในองค์กร และข้อได้เปรียบในการบริหารจุดคุ้มทุนและกระจายความเสี่ยงด้านธุรกิจไฟฟ้าที่ครบวงจรครอบคลุมตลอดห่วงโซ่อุปทาน”
สำหรับธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานที่ดำเนินการโดยบ้านปู เน็กซ์ บริษัทเน้นการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่ส่งเสริมศักยภาพและการเติบโต รวมถึงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ (New S-curve) เช่น ธุรกิจเกี่ยวกับไฮโดรเจน และธุรกิจกักเก็บคาร์บอน (CCS)
ทั้งนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้เพิ่มสัดส่วนการเข้าถือหุ้นในบริษัท ดูราเพาเวอร์ โฮลดิ้งส์ จํากัด (Durapower) จาก 47.68% เป็น 65.10% ด้วยเงินลงทุน 70 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตของธุรกิจแบตเตอรี่ให้แข็งแกร่งมากขึ้น
สำหรับภาพรวมปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ จำนวน 5,739 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84% จากปีก่อน โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 9,124 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 162% จากปีก่อน เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้เต็มปีของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I ที่สามารถขายไฟฟ้าในปริมาณและราคาที่ดี และการรับรู้กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนใน Sunseap
ขณะเดียวกัน โรงไฟฟ้า HPC และโรงไฟฟ้า BLCP มีความสามารถในการรักษาประสิทธิภาพการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี โดยมีค่าความพร้อมจ่าย (Equivalent Availability Factor : EAF) สูงถึง 86% และ 87% ตามลำดับ ส่งผลให้บริษัทมีสถานะทางการเงินที่มั่นคงแข็งแกร่ง พร้อมต่อยอดการเติบโตของบริษัท และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้น