กรมชลฯ ปรับปรุงระบบชลประทานเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง แก้ปัญหาอุทกภัย

กรมชลฯ

กรมชลฯ เดินหน้าปรับปรุงระบบชลประทานเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง 7 จังหวัด หวังแก้ปัญหาอุทกภัย ไม่ซ้ำรอยปี’54

วันที่ 23 พฤษภาคม 2566 นายวิทยา แก้วมี รองอธิบดีกรมชลประทาน พร้อมด้วยนายยงยส เนียมทรัพย์ รองผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 11 นายมานพ แจ่มมี ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษารังสิตเหนือ นายวิรวัฒน์ ผสมทรัพย์ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษารังสิตใต้ และผู้เกี่ยวข้อง

นำคณะลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้างานสำรวจ ออกแบบ โครงการปรับปรุงระบบชลประทาน พื้นที่เจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง ที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษารังสิตเหนือ จังหวัดปทุมธานี

นายวิทยาเปิดเผยว่า พื้นที่เจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง มีลักษณะเป็นพื้นที่ราบลุ่ม เมื่อเกิดฝนตกหนักมักจะเกิดปัญหาอุทกภัยในพื้นที่เป็นประจำเกือบทุกปี ก่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนและทุกภาคส่วนเป็นอย่างมาก และจากเหตุการณ์อุทกภัยปี 2554 ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

กรมชลประทานจึงได้ดำเนินโครงการปรับปรุงระบบชลประทานพื้นที่เจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง ซึ่งเป็น 1 ใน 9 แผนงานของแผนบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) มีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อปี 2560

โดยกรมชลประทานได้ดำเนินการศึกษาทบทวนความเหมาะสมแล้วเสร็จในปี 2560 ลักษณะโครงการเป็นการปรับปรุงคลองและอาคารชลประทานในพื้นที่เจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่างตั้งแต่ใต้แม่น้ำป่าสักบริเวณเขื่อนพระรามหก ผ่านคลองระพีพัฒน์ จนถึงชายทะเลอ่าวไทย ด้วยการปรับปรุงโครงข่ายคลองชลประทานเดิม จำนวน 24 คลอง ความยาวรวม 505.18 กม. รวมถึงก่อสร้าง/ปรับปรุงอาคารบังคับน้ำ 21 แห่ง

ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2566 ทั้งนี้ หากสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จทั้งโครงการ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการระบายน้ำได้จากเดิม 210 เป็น 400 ลบ.ม./วินาที โดยระบายน้ำออกทางแม่น้ำเจ้าพระยา 100 ลบ.ม./วินาที แม่น้ำนครนายกและแม่น้ำบางปะกง 156 ลบ.ม./วินาที และระบายน้ำสู่ทะเลบริเวณอ่าวไทย 144 ลบ.ม./วินาที ช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่เจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง


ครอบคลุมพื้นที่ 7 จังหวัด ประกอบด้วย พระนครศรีอยุธยา สระบุรี นครนายก ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร ที่สำคัญจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต