ปกเขตร รัชกิจประการ กว่าจะมาเป็น MAXBIT น้องใหม่ใน PTG

ปกเขตร รัชกิจประการ
ปกเขตร รัชกิจประการ
คอลัมน์ : สัมภาษณ์

เชื่อได้ว่าตลาดคริปโตเคอร์เรนซีเดือดแน่นอนในโค้งสุดท้ายของปีนี้ บริษัท แม็กซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด หรือ MAXBIT แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลน้องใหม่ในเครือ PTG จะเริ่มเทรดแรก ในเดือนตุลาคม 2566 นี้ “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ “ปกเขตร รัชกิจประการ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MAXBIT ถึงเส้นทางจากนักศึกษาด้านจิตวิทยาจนสู่ธุรกิจในวันนี้

ดีกรีลูก รมต.

“ปกเขตร” เป็นลูกไม้ใต้ต้น ลูกชายคนรอง ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” และเป็นหลานอา “พิทักษ์ รัชกิจปราการ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอร์ ตอนนี้อายุ 30 ปี

ด้วยความที่มีสายเลือด “นักธุรกิจ” เขาจึงมุ่งมั่นทำธุรกิจ โดยได้รับแรงเชียร์จากทั้งคุณพ่อในฐานะที่ทำธุรกิจมาก่อน เป็นผู้ก่อตั้ง PTG ที่มีบทบาทโลดแล่นในเรื่องการเมือง และคุณอา “พิทักษ์” ที่ให้โอกาสร่วมสร้างธุรกิจนี้ จึงได้รับการปลูกฝังแนวคิดในการทำธุรกิจและความกล้าที่จะเสี่ยง โดยมีครอบครัวสนับสนุนเต็มที่

เขาเล่าถึงเส้นทางความสนใจเรื่องคริปโตเคอร์เรนซีว่าเริ่มมาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา แม้ว่าไม่ได้เรียนเกี่ยวกับด้านนี้ แต่อาศัยความชอบส่วนตัวจึงสนใจและเริ่มทดลองซื้อขายบิตคอยน์เอง ตั้งแต่เรียน ปี 1 ปี 2 เมื่อได้ศึกษาดูก็พบว่าคอนเซ็ปต์น่าสนใจ ถ้าเกิด ได้ก็ดีต่อโลก

“ตอนนั้นผมสนใจว่าถ้ามีสกุลเงินสกุลหนึ่งที่สร้างมาในโลกอินเทอร์เน็ตแล้วสามารถโอนไปให้ใครก็ได้บนอินเทอร์เน็ตจะสุดยอด เลยเริ่มซื้อ ปี 2013-2021 ลงทุนกี่บาทจำไม่ได้ แต่น่าจะขาดทุนไปแล้ว เพราะถ้าราคาบิตคอยน์ 100 บาทขึ้นไป 200 บาท ผมว่าเราน่าจะขายก่อน ตอนนี้เป้าหมายในใจเราอยากจะทำตรงนี้ หลังจากเห็นคุณพิทักษ์ และคุณพ่อทำมา ก็ไม่น่าจะหนีคำว่าเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯได้ เป็นแผนระยะยาว ที่มีในใจไว้”

เปิดเส้นทางไม่ใช่ง่าย

ในบริษัท MAXBIT ตนถือหุ้น 75% ฝั่ง PTG ถือหุ้น 35%

เขาเล่าต่อว่าต้องใช้เวลาถึง 1 ปีเศษในการยื่นขอใบอนุญาตนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล กว่าจะมาถึงวันนี้ MAXBIT ได้รับใบอนุญาต 2 ใบ คือ ไลเซนส์ดิจิทัล แอสเซตโบรกเกอร์ และไลเซนส์คริปโตเคอร์เรนซีโบรกเกอร์ เท่ากับว่าตอนนี้เขาจะสามารถเป็นโบรกเกอร์ได้ทั้งในฝั่งโทเค็น และคริปโตเคอร์เรนซี

สเต็ปต่อไปแพลตฟอร์ม MAXBIT จะใช้เวลาเตรียมตัวประมาณ 3 เดือนก่อนที่จะเริ่มเทรด โดยจะต้องได้รับการตรวจสอบระบบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก่อนคาดว่าจะเปิดเทรดได้ในเดือนตุลาคม 2566

เขากล่าวด้วยว่า ถ้าธุรกิจจากสองใบอนุญาตที่ได้รับในปัจจุบันมีความมั่นคงแล้ว ก็สนใจใบอนุญาตผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล (digital asset fund manager) ที่จะทำให้สามารถจัดพอร์ตให้ลูกค้าได้เลย

พร้อมแข่งเดือด

แน่นอนว่าในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่าการซื้อขายปีละ 45,000 ล้านบาท และมีเจ้าตลาดที่ถือครองส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 85% เจ้าที่รองลงมาถือครองส่วนแบ่งถึง 7-8% และ 3-5% ตามลำดับ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ “น้องใหม่” จะเข้าไปช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด

แต่ “ปกเขตร” ก็พร้อมสู้โดยบอกว่า เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ในด้านระบบมีการลงทุนไปแล้ว 140 ล้านบาท และวางงบประมาณปีนี้ 160 ล้านบาท และมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ถึง 40 คน

“ส่วนความพร้อมเรื่องโปรดักต์ได้ผนึกพันธมิตรนำเหรียญต่าง ๆ ให้เลือกเทรดมากถึง 20 เหรียญในเฟสแรก ซึ่งการเลือกประเภทของเหรียญที่จะนำมาเทรดมีการทำรีเสิร์ซไว้แล้วเหรียญที่จะนำเข้ามาในตลาดต้องมี 10 เหรียญยอดนิยมที่คนไทยซื้อขายกันอย่างแน่นอน”

ทั้งยังมีเรื่องของกรีน เครดิตคาร์บอน ใบอนุญาตที่ได้รับอนุมัติมาไม่ได้ขายเพียงเฉพาะคริปโตเคอร์เรนซีเท่านั้น แต่สามารถขายโทเค็นดิจิทัล ซึ่งเราได้มีการหารือกับพันธมิตร เพื่อคัดเลือกเหรียญที่สามารถนำมาซื้อขายบนแพลตฟอร์ม หรือกล่าวโดยสรุปว่า โทเค็นดิจิทัลใดก็ตามที่ผ่านการพิจารณาของทาง ก.ล.ต.แล้ว สามารถนำมาซื้อขายบนแพลตฟอร์มได้ทุกประเภท

“จุดแข็งที่สำคัญแพลตฟอร์มเรามีฟังก์ชั่น DCA หรือ dollar-cost averaging ที่คนซื้อหุ้นจะคุ้นเคย เพราะเป็นฟังก์ชั่นที่ผู้ซื้อสามารถทยอยการลงทุนอย่างสม่ำเสมอด้วยเงินจำนวนเท่ากันในแต่ละงวด เพื่อผลตอบแทนระยะยาว ซึ่งฟังก์ชั่น DCA นี้ คู่แข่งในตลาดไม่มี”

อีกเรื่องที่ MAXBIT พยายามผลักดันอยู่คือ เรื่องของตลาด OTC (over-the-counter) หรือการซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีไม่คุ้นเคย เพราะปกติการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีจะอยู่บนแพลตฟอร์มหรือกระดาน แต่การซื้อขายรูปแบบนี้มักปรากฏในการซื้อหุ้นที่มีโบรกเกอร์มาช่วยเหลือซื้อหุ้นที่ต้องการ

ฟีเจอร์นี้มีขึ้นเพื่อปรับแต่งพอร์ตให้มีความเฉพาะบุคคล พร้อมบริหารจัดการความเสี่ยง ให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการลงทุนในหุ้นเป็นทุนเดิมแตกต่างจากกลุ่มลูกค้าคู่แข่งที่มักเป็นกลุ่มรีเทล ซึ่งส่งผลต่อการออกแบบฟังก์ชั่นของแพลตฟอร์มให้นักลงทุนรู้สึกคุ้นเคย

เสริมแกร่ง Ecosystem พีทีจี

“MAXBIT ยังมีแต้มต่อจากการเชื่อมโยงเครือข่ายสมาชิกร่วมกับ PTG Maxcard ทำให้มี ecosystem ที่แข็งแกร่ง โดยจะมีการสะสม ‘MAX Point’ สำหรับใช้ซื้อสินค้าและบริการในเครือ PTG ทั้งกาแฟพันธุ์ไทย สินค้าในแม็กมาร์ท และการเติมน้ำมันต่าง ๆ”

ปัจจุบันการที่แม็กซ์การ์ดมีฐานสมาชิก 18 ล้านคน ทำให้ MAXBIT ได้ฐานลูกค้าจากตรงนี้ที่จะถ่ายโอนมา ซึ่งคาดว่าเฉพาะกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ พนักงานบริษัท กลุ่มที่เคยมีการลงทุนในหุ้น และคุ้นเคยกับการลงทุนอยู่แล้ว คาดว่าจะหันมาใช้ MAXBIT มากถึง 100,000-150,000 รายในครึ่งปีแรก และจากนั้น MAXBIT ตั้งเป้าว่าจะสามารถเพิ่มสมาชิกที่มีการเทรดจริงประมาณ 300,000 คนภายใน 1 ปีแรกของการทำธุรกิจ

“ในช่วงการเปิดเทรดครั้งแรกคาดว่าจะเป็นจังหวะเดียวกับอีกค่ายหนึ่ง (ไบแนนซ์) ที่ได้รับใบอนุญาตมาในเวลาใกล้เคียงกัน น่าจะเปิดเทรดใกล้กัน เราคงต้องทำโปรโมชั่นดึงดูดลูกค้าทั้งจากรายเดิมและรายใหม่อย่างเต็มที่”

ตั้งเป้าชิงส่วนแบ่งตลาด 10%

เป้าหมายของ MAXBIT ระยะแรกคือการสร้างความมั่นใจให้กับสมาชิกให้เข้ามาเทรดมากขึ้น ๆ จนสามารถก้าวสู่การเป็นผู้ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 2 โดยมีมาร์เก็ตแชร์ 10% หรือประมาณ 4,500 ล้านบาท คิดเป็นรายได้จากค่าธรรมเนียมในการเทรด 1,100 ล้านบาท

แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะดูเปราะมาก และไทยยังมีปัญหาจากการเทรดก่อนหน้านี้ แต่เขามั่นใจว่าตลาดบิตคอยน์จะกลับมาเป็นขาขึ้นตามวัฏจักรการทำนายทุก 4 ปี สถานการณ์ตลาดปัจจุบันยังน่าลงทุน โดยช่วงที่มีการซื้อขายบิตคอยน์ขาขึ้นนั้น ราคา 1.8-1.9 ล้านบาท ยอดเทรด 80,000-90,000 ล้านบาท แต่มาหลังจากนั้นตลาดขาลง ราคาบิตคอยน์ ร่วงลงไปเหลือ 600,000 บาท ยอดเทรดลดลงกว่าครึ่งเหลือเพียง 30,000-35,000 ล้านบาท ลดลง 60%

หากประเมินตามวัฏจักรแล้วเท่ากับบิตคอยน์จะปรับขึ้นอีกครั้งตามรอบ ในเดือน มี.ค. 2024 คาดว่าจะกลับมายืนราคาเดิมที่ 1.8-2 ล้านหรือสูงกว่านั้นได้ ทำให้อุปสงค์ทั้งตลาดโลกและตลาดไทยน่าจะกลับมาที่เดิมหรืออาจสูงกว่าเดิม หากตลาดกลับมาสู่ขาขึ้น รายได้จากค่าคอมมิชชั่นจากการเทรดจะเพิ่มขึ้น ซึ่งตามสถิติตั้งแต่ปี 2011 ที่มี bitcoin halving ไม่มีรอบใดที่บิตคอยน์ราคาไม่ขึ้นหากรอบนี้ไม่ขึ้นก็จะผิดไปจากประวัติศาสตร์ของบิตคอยน์