PTG ลุย 8 เสาธุรกิจ “คนตัวเล็ก” รบชนะด้วยบริการ

PTG

นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพลิกเกมสู้ในธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีก แต่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ก็สามารถทำได้สำเร็จ จากปั๊มสีเขียวบ้านนอกสู่เบอร์ 2 ในตลาดค้าปลีกน้ำมัน สามารถทำลายสถิติสร้างยอดขายนิวไฮในปี 2565 “พิทักษ์ รัชกิจประการ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ให้สัมภาษณ์ถึงแผนธุรกิจ 5 ปี 2023-2027 ขับเคลื่อน 8 เสาหลักธุรกิจอย่างไร ในงาน PTG Business Outlook : Drive for Tomorrow

เล็กไม่เป็นก็ใหญ่ไม่ได้

พิทักษ์ฉายภาพว่า แนวคิดในการทำธุรกิจเขาคือ ถ้าเล็กไม่เป็นใหญ่ไม่ได้ ตอนเด็กผมเป็นลูกชายที่พ่อให้ตักข้าวให้ทุกคนรอบวง พอปี 2535-2536 มาอยู่บ้านพี่ชายที่เป็นรัฐมนตรี เขาก็ให้ผมตักข้าวให้เพื่อน ๆ เขา สำหรับผมพีทีก็เป็นคนตัวเล็กในเวทีใหญ่ ที่ดันเข้าไปแข่งขันในธุรกิจน้ำมัน แอลพีจี หรือแม้แต่กาแฟพันธุ์ไทย

“ตอนนี้น้ำมันเราเป็นเบอร์ 2 แอลพีจีเราก็เป็นเบอร์ 1 แล้วในกลุ่มออโต้แก๊ส แต่เราก็มีเป้าหมายที่จะขยับเป็นเบอร์ 2 ในตลาดภาพรวมแก๊สทั้งหมดทั้งบ้านและรถยนต์ ส่วนกาแฟพันธุ์ไทยก็เป็นเบอร์ 2 ที่เตรียมจะเข้าเทรดตลาดหลักทรัพย์ฯในปี 2568 ด้วยจุดเด่นสำคัญของ คนตัวเล็กจะต้องมีแคแร็กเตอร์ที่ไว ต้องกล้า และคิดตลอดเวลา ขณะที่คนตัวใหญ่อาจจะกลัว ไม่กล้า หรือลังเล ความเล็กไม่ใช่อุปสรรคที่เราจะชนะข้าศึก”

พิทักษ์ รัชกิจประการ
พิทักษ์ รัชกิจประการ

น้ำมัน 1 ใน 8 เสาหลัก

แผนใน 5 ปีข้างหน้า ปี 2027 (2579) บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 25% จากปัจจุบันที่เป็นอันดับ 2 ตลาด มีสัดส่วน 17%

“5 ปีจากนี้ เราจะเห็น 25% เป็นอย่างน้อย ของส่วนแบ่งตลาดน้ำมัน ธุรกิจน้ำมันมีเบอร์ผู้นำอยู่เบอร์เดียว 40% ในอดีตเราเป็น 1% เราก้าวมาเป็นผู้ตาม 12-13% และวันนี้เรากำลังเป็นแชลเลนเจอร์ ผมว่าอย่างน้อย 25% ต้องทำได้ ขนาดแต่เดิมเรามีเพียงแค่ธุรกิจปั๊มน้ำมัน สีเขียว ๆ ปั๊มบ้านนอก สิงห์ภูธร แต่วันนี้จากธุรกิจเดียวเราขยายไป 8 กลุ่มธุรกิจ โดยน้ำมัน และแก๊สเป็นเพียงแค่ 1 ใน 8 เสาหลักของพีที”

“ส่วนเสาหลักที่ 2 คือ food and beverage ต่อไปหากจะเดินห้างก็คอฟฟี่เวิลด์ เดินทางก็กาแฟพันธุ์ไทย เสาหลักที่ 3 ธุรกิจค้าปลีก เสาหลักที่ 4 เป็นเรื่องดิจิทัลแพลตฟอร์ม ในด้านการเงินและไลฟ์สไตล์ เสาหลักที่ 5 เป็นเรื่องของซัพพลายเชนจากนี้ไป เป็นซัพพลายเชนที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจขนส่งน้ำมัน ดีซี และเสาหลักที่ 6 auto maintenance

เสาหลักที่ 7 health and wellness เรื่อง wellbeing ที่เราลงทุนในสตาร์ตอัพอลินแคร์แพลตฟอร์มสตาร์ตอัพ สร้างเครือข่ายร้านขายยา 3,500 แห่ง จากทั้งหมดที่ประเทศไทยมีร้านขายยา 18,000 ร้าน

ซึ่งหาก 2-3 ปีข้างหน้าร้านทั้งหมดใช้ระบบของอลินแคร์ คนไทย 77 จังหวัด 930 อำเภอ 7,400 ตำบล ซื้อยาที่ร้านขายยา ในอลินแคร์ และถ้าบัตรสมาชิกแม็กการ์ดซื้อยาแล้วได้แต้ม และสุดท้าย เสาที่ 8 พลังงานหมุนเวียน ซึ่งในอนาคตผมมองว่า ESG เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกธุรกิจต้องมี”

Max Card สู่ Max Wolrd

เป้าหมายของเรา Max Card จะมี 30 ล้านสมาชิกอีก 5 ปี จากปัจจุบันมี 19 ล้านสมาชิก สิ้นปีนี้จะมี 21.5 ล้านสมาชิก ย้อนไปเราเริ่มระบบนี้เมื่อปี 2555 ปีแรกมีสมาชิกเพียง 3 แสนคน แต่ปี 2565 สมาชิกเราเท่ากับบัตรเดอะวันการ์ด เป็นอันดับ 1

“ถ้า Max Card 30 ล้านสมาชิก คิดเป็นเราจะมีคน 20 ล้านครัว หรือ 77.5% ของครัวเรือนประเทศมาอยู่บนระบบนิเวศของพีที จะดีกว่าไหมถ้าวันหนึ่งคนที่ซื้อขายออนไลน์ผ่านอาลีบาบา ในอนาคตจะผ่านเรา แต่ในอนาคต เราจะเปลี่ยนจากปั๊มน้ำมัน เป็น cocreation

เพราะเรามองว่าถ้าอยากจะไปได้ไกล ไม่ใช่แค่ไปได้เร็ว เราต้อง collaboration หาพันธมิตรเติบโตไปด้วยกัน โฟกัสคนที่อยู่หลังพวงมาลัย เป็น customer centric และต้องเป็น seamless online to offline เรามีวิวัฒนาการการใช้ข้อมูลเพื่อให้บริการให้ตรงกลุ่มมากขึ้น”

“บัตรสมาชิก เขียวและแดง 30 ล้านสมาชิก โดยเฉพาะบัตรแดง 64-65 เรามีเพียง 72% แต่เชื่อไหมว่า ก.พ.ปีนี้ยอดกระโดดไป 76% ถ้าโตถึง 80-85% วันนั้นเราบ่ยั่นว่าจะเป็นผู้นำ หรือฝรั่งมาเปิด

เพราะหากระบบแฟนคลับมาเหนียวแน่น สมาชิกเยอะ ดาต้า การทำ 8 เสาหลักธุรกิจ เหมือนกับการต่อจิ๊กซอว์แล้วครบลูป จากเดิมมีแต่น้ำมัน แก๊ส แต่วันนี้มีอีก 7 กลุ่มมาช่วยเติมเต็ม ทำให้ระบบสมาชิกสมบูรณ์แบบ”

มองภาพรวมน้ำมัน

“ปีที่แล้วพีทีจำหน่ายน้ำมันนิวไฮ 5,316 ล้านลิตร ยอดขายเพิ่ม 5.9% จากเป้าหมายที่วางไว้ 6-10% แม้ว่ามีโควิด ราคาน้ำมันผันผวนต้นปีแต่เราโต และครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับที่ 2 และปีนี้ยังเป็นอีก 1 ปีที่อัตราการเติบโตของยอดจำหน่ายน้ำมันของพีพีจะมากกว่าประเทศ มีโอกาสโต 2-3 เท่า หรือ 2 เท่าเป็นอย่างน้อย”

ส่วนปีนี้จะมีการขยายจำนวนสาขา และที่สำคัญจะมีการขยายสถานีบริการน้ำมันแฟลปชิฟสโตร์จากปีที่แล้วที่เปิดที่ศาลายา พื้นที่ 9 ไร่ ลงทุน 200 กว่าล้าน มีน้ำมัน มีคอมมิวนิตี้เอาลูก ๆ เข้าไปอยู่ในนั้น ทำให้ 1 ปียอดขายน้ำมันได้ 1.3 ล้านลิตร มากกว่าที่ศึกษาไว้ 5 แสนลิตร

เด็กปั๊ม สู่ Master Service

“ที่สำคัญ พีทีปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใช้เงินลงทุนน้อย ๆ ไม่ใช่เน้นขยายสาขา แต่ต้องขยายอย่างมีคุณภาพ รบชนะด้วยเซอร์วิสอินโนเวชั่น เช่น ที่ Max Park ศาลายา คือ ปั๊มที่ไม่มีเด็กปั๊ม แต่มีน้อง ๆ ที่เรียกว่า PTG Master Service ที่ได้รับการเทรนมาอย่างดี เสนอโซลูชั่น โปรโมชั่นมีอะไร

ซึ่งช่วยพิสูจน์แล้วว่าทำให้เติบโตต่อสาขาเพิ่มขึ้น ตอนนี้มี 200 คน ปีนี้จะเพิ่มเป็น 500 คน จะให้ครบ 2,500 คนทั่วประเทศ เน้นในกรุงเทพฯและปริมณฑล

นอกจากศาลายา จะมีบางบอน พุทธมณฑลสาย 3 และมีวิภาวดี ศาลอาญา เดือนก่อนมี 14 สาขา ในไตรมาส 1 ปีนี้ มีไม่น้อยกว่า 50 สาขา สาขาหนึ่งจะมียอดขายเพิ่มขึ้น 25% เป็นตัวเลขเยอะ เราต้องการเซอร์วิสดี ลูกค้ามีความสุข เราก็ได้อานิสงส์”

ขยาย Elex by EGAT

แผนขยายสถานีชาร์จ Elex by EGAT ที่ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ปีนี้จะมีจำนวนอย่างน้อย 70 สาขา จากปีก่อนที่มี 35 สาขา และจะเพิ่มเป็น 180 สาขาในปี 2027

“ตอนนี้ถามว่าแต่ละสาขาชาร์จที่ดีที่สุดไม่เกิน 3 คัน/วัน ถ้าจะทำตรงนี้ให้ถึงจุดคุ้มทุน ต้องอย่างน้อย 10 คันต่อวัน แสดงว่าปีนี้อีวีมาในมิติของความเร็ว แต่การเปลี่ยนแปลงมีทั้งแรงและเร็ว แต่มิติของความแรงยังมาไม่ได้ขนาดนั้น ตัวเลขโชว์ปี 2565 ตัวเลขอีวีเติบโต 3% ของรถใหม่”

“แผนอีวี เราไดเวอร์ซิไฟด์เราทำมาหลายปีแล้ว แต่วันนี้ผมยังไม่นับ 1 อีวี จะเริ่มนับ 1 ก็ต่อเมื่อในงานมอเตอร์โชว์มียอดจองในงาน 10,000 คัน ซึ่งเท่าที่เห็นปีก่อน 5,000 คัน จากปีก่อน 1,000 คัน ก็ต้องมาดูปีนี้ถ้าได้ 10,000 คัน เราจะเริ่มนับ 1 ในธุรกิจนี้

แต่ก็ไม่ใช่ว่านับ 1 แล้วอีวีจะมาแทนที่ 100% เพราะปีก่อนมี รถอีวี 32,000 คัน ปีนี้มีข้อมูลว่าจะเพิ่มเป็น 50,000 คัน ผมว่ามีอีกสัก 20 ปีน้ำมันก็ไม่หมด เพราะรถมือสอง รถสันดาปยังอยู่”

PTG ปักหมุดโรงไฟฟ้าขยะ

PTG ในอดีตได้ใช้เงินลงทุน 60-70% ของงบฯลงทุน 5,000-6,000 ล้านบาทในแต่ละปี โดยให้น้ำหนักไปที่น้ำมันและแก๊ส อีก 15% ให้มุมของน็อนออยล์ และอีก 15% ในมุมของธุรกิจใหม่ แต่จากนี้ไปจะเปลี่ยนโดย 15-20% อยู่ที่ออยล์แอนด์แก๊ส ส่วนน็อนออยล์ New Business Model และสตาร์ตอัพผ่านทางแม็กเวนเจอร์ดูแล ได้ 70-80%

นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้จะปรับสัดส่วนการใช้งบฯลงทุนปี 2566 (CAPEX) มูลค่า 5,000-6,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนในน้ำมัน 1,000-1,500 ล้านบาท ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (nonoil) 2,000-2,500 ล้านบาท และธุรกิจใหม่ 1,500-2,000 ล้านบาท

“ปีที่ผ่านมาธุรกิจ nonoil เติบโตทุกมิติ เช่น Touchpoint ที่เติบโต 36% และมี CAGR 5 ปีเฉลี่ยสะสมที่ 34% รายได้เติบโต 68% YOY และ CAGR 5 ปี ที่ 37% กำไรขั้นต้นเติบโต 50% YOY และ CAGR 5 ปี ที่ 36% และสัดส่วนกำไรขั้นต้นที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี มีสัดส่วนกำไรขั้นต้นในธุรกิจ nonoil ที่ 18.5% ซึ่งเป็นไปตามที่เรามองไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 15-20%”

โดยแผนการขยายสถานีบริการน้ำมัน PT ปี 2565 มี 2,149 สถานี เป็นสถานีบริการที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท (COCO) 1,809 สถานี และสถานีบริการที่เป็นของผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิจากบริษัท (DODO) 340 สถานี ส่วนปีนี้จะขยายเป็น 2,206 สาขา

รังสรรค์ พวงปราง
รังสรรค์ พวงปราง

ส่วนธุรกิจ nonoil ประกอบด้วย ร้านกาแฟพันธุ์ไทย 511 สาขา และร้านคอฟฟี่เวิลด์ 26 สาขา ซึ่งปีนี้จะขยายเป็น 1,523 สาขา และเป็น 5,000 สาขาในปี 2027, ธุรกิจ LPG แบ่งเป็น สถานีบริการ Auto LPG จาก 231 สถานีบริการ เป็น 251 สาขา และ 319 สาขาในปี 2027

และร้านจำหน่ายก๊าซ LPG บรรจุถัง (Gas Shop) จาก 253 สาขา เพิ่มเป็น 323 สาขาปีนี้ และเป็น 880 สาขาในปี 2027 ร้านสะดวกซื้อ Max Mart จาก 309 สาขา ขยายเป็น 369 สาขาปีนี้ และเป็น 577 สาขาในปี 2027

ศูนย์บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ Autobacs จาก 45 สาขา เป็น 90 สาขาในปีนี้ และ 334 สาขาในปี 2027 ศูนย์เปลี่ยนถ่ายน้ำมัน Maxnitron Lube Change จาก 52 สาขา เป็น 70 สาขาในปีนี้ และ 300 สาขาในปี 2027

จุดพักรถ Max Camp จาก 64 จุด เป็น 75 จุดในปีนี้ และ 141 สาขาในปี 2028 และสถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charging) จาก 35 จุดชาร์จ เป็น 65-70 สาขาปีนี้ และเป็น 180 สาขาในปี 2027

โครงการ Solar Rooftop เป็นการลงทุนผ่าน บริษัท พีทีจี กรีน เอ็นเนอยี จำกัด (PTGGE) ปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างลงทุนและซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบ private PPA กับบริษัท และจะขยายการลงทุนในประเทศและต่างประเทศต่อไปในอนาคต ปัจจุบันโครงการนี้มีมูลค่าเงินลงทุนจำนวน 300 ล้านบาท และมีกำลังการผลิตไฟฟ้า ทั้ง phase 1-4

โดยรวมประมาณ 8.171 MW โดยในปัจจุบัน phase 1 และ 2 ได้ดำเนินการติดตั้งเสร็จสิ้นแล้ว โดยปีนี้มีแผนติดตั้งเพิ่มอีก 6.291 MW คาดว่าปี 2567 จะลดปริมาณการใช้ไฟฟ้า 9.5 ล้านหน่วยต่อปี

และคาดว่าจะลดค่าใช้จ่าย 40-50 ล้านบาท รวมทั้งช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 4.237 ล้านตันต่อปี (EPPO ref : การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยการใช้ไฟฟ้า (kWh : 0.446)

ในส่วนของโรงไฟฟ้าขยะเพื่อชุมชน ณ เทศบาลเมืองบ้านพรุ มีขนาด 4.5 MW ซึ่งโครงการนี้จะช่วยเสริมธุรกิจ renewable energy ของบริษัท และส่งเสริมมิติสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับกลยุทธ์ ESG ของบริษัท ซึ่งมีมูลค่าโครงการโดยประมาณ 1,000 ล้านบาท

คาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างได้ในช่วงไตรมาส 3/2566 และเปิด COD ได้ในปี 2568 โดยผลประโยชน์ที่บริษัทคาดว่าจะได้รับ คือสามารถลดปริมาณขยะสะสมได้ 2-3 ล้านตัน คาดว่าสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมได้ 4-5 ล้านตัน และสร้างงานสร้างโอกาสให้คนอีก 100 ตำแหน่ง

“เรามองว่าข้อจำกัดการลงทุนโรงไฟฟ้าขยะคือปริมาณขยะมีเท่าไร อยู่ตรงไหนบ้าง ตอนนี้ขยะถูกจับจองหมดแล้ว ถ้าจะให้เสถียร โรงไฟฟ้าขยะต้องมีวัตถุดิบวันละ 400-500 ตันขึ้นไป แต่เรามองที่ขยะว่า การบริหารจัดการขยะสำคัญกว่า เราจึงจะลงทุนส่วนนี้ 500-600 ล้านบาท เพื่อบริหารจัดการขยะในอนาคต”