พิษเอลนีโญฉุด CKPower รายได้ไตรมาส 2 ลด 3.5% คาดไตรมาส 3 ดีขึ้นตามฤดูกาลน้ำหลาก พร้อมวางแผนรับมือภัยแล้งอย่างเป็นระบบ ย้ำเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเป็น 93%
วันที่ 10 สิงหาคม 2566 นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower (CKP) เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) ทำให้สภาพภูมิอากาศโลกแปรปรวน เกิดภัยแล้งเป็นวงกว้าง รวมถึงประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่งผลกระทบทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำของโรงไฟฟ้าพลังน้ำน้ำงึม 2 และปริมาณน้ำไหลผ่านโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้ผลการดำเนินงานของ CKPower ในไตรมาสที่ 2/2566 และครึ่งปีแรกของปีนี้ลดลง
โดยบริษัทได้ประกาศความพร้อมจ่ายไฟฟ้าภายใต้หลักความระมัดระวังและบริหารจัดการค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำน้อย โดยคาดว่าในไตรมาสที่ 3/2566 ผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ 2/2566 จากปัจจัยตามฤดูกาลน้ำหลาก
ในไตรมาส 2 ปีนี้ บริษัทมีรายได้รวม 2,566 ล้านบาท ลดลง 93 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 2,659 ล้านบาท โดยมีกำไร 1.8 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 864 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 99.8
ส่วนในช่วง 6 เดือน มีรายได้รวม 5,251 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวด 6 เดือนแรกของปีที่แล้ว 49 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.9 ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ค่าบริหารโครงการและรายได้อื่นที่เกี่ยวข้องที่เพิ่มขึ้น
ส่วนกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทในไตรมาส 2 และครึ่งปีแรกของปี 2566 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทรับรู้ผลขาดทุนสุทธิจำนวน 103 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 903 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากการลดลงของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน XPCL จากปริมาณการขายไฟฟ้าที่ลดลงตามปริมาณน้ำ และจากค่าใช้จ่ายทางการเงินเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มดอกเบี้ยโลก ขณะที่ NN2 มีรายได้จากการขายไฟฟ้าลดลงและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากงานซ่อมบำรุงใหญ่ (Major Overhaul) ซึ่งเป็นไปตามแผนการซ่อมบำรุงปกติ ส่วนโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ บางเขนชัย (BKC) มีรายได้ลดลงจากการสิ้นสุดการได้รับ Adder
นอกจากนี้ ฐานะการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่ภาระดอกเบี้ยจ่ายสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ดีที่ 0.62 เท่า
“ฤดูแล้งของปีนี้ถือเป็นอีกปีที่หนักหน่วง เพราะมีสถานการณ์เอลนีโญเข้ามาสมทบ แต่บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปได้ด้วยดี เนื่องจากบริษัทมั่นใจว่าในไตรมาส 3 จะมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลน้ำหลาก อีกทั้งได้มีการวางแผนและเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือเรื่องภัยแล้งอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้บริษัทยังได้ติดตามสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของ CKP
ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2566 ร้อยละ 83 ของหนี้สินระยะยาวตามงบการเงินรวมของ CKP เป็นหุ้นกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ และต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.50 และในส่วนของ XPCL ซึ่งเป็นบริษัทร่วมก็มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยผ่านการทำ Interest Rate Swap และการออกหุ้นกู้ เพื่อบริหารจัดการหนี้สินระยะยาวให้มีสัดส่วนดอกเบี้ยคงที่และดอกเบี้ยลอยตัวที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง”
นายธนวัฒน์เพิ่มเติมว่า ในปี 2566 CKPower ได้ตั้งเป้าหมายปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 1 และ 2 ไม่เกิน 723,674 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 CKPower ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 354,851 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) ซึ่งถือว่าดีกว่าเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้
และคาดว่าในครึ่งปีหลังจะบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ไม่เกินเป้าหมายหรือดีกว่าเป้าหมาย โดยบริษัทมีโครงการลดการใช้พลังงาน โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรภายในองค์กรและมีแผนที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาทดแทนรถยนต์เดิม และจะเพิ่มการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนภายในองค์กรจากเดิม 88% เป็น 92% ภายในปีนี้
ทั้งนี้ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower บริษัทประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานประเภทต่าง ๆ 3 ประเภท จำนวน 14 แห่ง รวมขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 3,627 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย
(1) โรงไฟฟ้าพลังน้ำ 3 แห่ง คือ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 ภายใต้ บริษัท ไฟฟ้า น้ำงึม 2 จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 46% (ถือผ่าน บริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 615 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ภายใต้ บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 42.5% ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 1,285 เมกะวัตต์ และโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ หลวงพระบาง ภายใต้ บริษัท หลวงพระบางพาวเวอร์ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 50.0% ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 1,460 เมกะวัตต์
(2) โรงไฟฟ้าระบบโคเจเนอเรชั่น 2 แห่ง ภายใต้ บริษัท บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ 65% ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 238 เมกะวัตต์
และ (3) โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ 9 แห่ง ภายใต้ บริษัท บางเขนชัย จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 100% จำนวน 7 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 15 เมกะวัตต์ ภายใต้บริษัท นครราชสีมา โซล่าร์ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 30% จำนวน 1 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 6 เมกะวัตต์ และภายใต้บริษัท เชียงราย โซล่าร์ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 30% จำนวน 1 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 8 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower หนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดและมีคาร์บอนฟุตพรินต์องค์กรที่ต่ำที่สุดในภูมิภาค ตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตจากพลังงานหมุนเวียนจากเดิม 93% เป็น 95% หรือ 4,800 เมกะวัตต์ ภายในปี พ.ศ. 2567
นอกจากนี้ CKPower ยังสนับสนุนเป้าหมายที่มุ่งเน้นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2593 ด้วยการพัฒนานวัตกรรมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด โดยล่าสุดในปี 2565 โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในเครือของกลุ่มบริษัท CKPower สามารถผลิตไฟฟ้าสะอาดส่งให้ประเทศไทยได้ถึง 9,767 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) หรือ 4.5% ของไฟฟ้าที่ใช้ในประเทศ เทียบเท่ากับการหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
และในปี 2565 CKPower ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรจากทริสเรตติ้ง ที่ “A” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” และได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน (Thailand Sustainability Investment) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3