โจทย์ใหม่ส่งออกกุ้งไทย 4 หมื่นล้าน สหรัฐ-ญี่ปุ่นงัด “มาตรฐานยั่งยืน”

กุ้ง

มาตรฐานกุ้งยั่งยืน ASC โจทย์ใหม่การส่งออกกุ้งไทย ยักษ์ค้าปลีก “คอสโก้-อิออน” ดีเดย์สั่งซื้อกุ้งที่มีใบรับรอง ASC กลุ่มไทยยูเนี่ยนนำร่อง “โค้ชชิ่ง ASC” ให้ผู้เลี้ยง 250 ฟาร์ม สมาคมกุ้งไทยผนึกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งประเดิมส่งฟาร์มสุราษฎร์เข้ามาตรฐาน ASC หวังเป็นใบเบิกทางคว้าโอกาสส่งออกตลาดสหรัฐ ทวงบัลลังก์กุ้งไทย หลังคู่แข่งเจอมาตรการ AD-CVD อ่วม

ปีหน้าการส่งออกกุ้งไทยอาจจะกลับมามีความหวังอีกครั้ง หลังจากที่ซบเซามานานจากการที่สหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทย ได้พิจารณาเปิดไต่สวนเพื่อใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนสินค้ากุ้งจากประเทศคู่แข่งของไทย 4 ประเทศ คือ เอกวาดอร์, อินเดีย, เวียดนาม และอินโดนีเซีย ไปเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2566

โดยจะประกาศผลการไต่สวนในวันที่ 9 ธันวาคม 2567 ทว่ากุ้งไทยยังต้องเผชิญกับโจทย์ใหม่ เมื่อบริษัทผู้นำเข้ารายใหญ่ประกาศที่จะนำมาตรฐานด้านความยั่งยืน หรือ Aquaculture Stewardship Council (ASC) มาใช้ตามเทรนด์ของโลก

ยักษ์ค้าปลีกใช้มาตรฐาน ASC

นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ซีอีโอ บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในปี 2567 แนวโน้มตลาดโลกมีความต้องการสินค้าสัตว์น้ำที่สามารถผลิตได้ตาม “มาตรฐานด้านความยั่งยืน” หรือที่เรียกว่า Aquaculture Stewardship Council (ASC) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่สหภาพยุโรปได้เริ่มขอให้ใช้ก่อนเป็นแห่งแรก

โดยตอนนี้บริษัทผู้ซื้อรายใหญ่ ๆ ของโลกเริ่มนำมาตรฐาน ASC มาใช้ดำเนินการแล้ว ทั้งคอสโก้ (Cosco) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการค้าส่งรายใหญ่สหรัฐที่มีสาขาอยู่ทั่วโลกก็เริ่มสั่งสินค้า โดยขอให้มีใบรับรอง ASC ขณะที่ห้าง AEON ของญี่ปุ่น ก็สั่งสินค้าเข้ามาตามมาตรฐานนี้เช่นกัน

“ASC เป็นมาตรฐานที่เกี่ยวกับ environment เป็นเรื่องสิ่งแวดล้อมล้วน ๆ มองด้านการใช้พื้นที่เลี้ยงกุ้งถูกต้องหรือไม่ เช่น บ่อกุ้งต้องไม่ได้รุกป่าหรืออยู่ในเขตป่าสงวน ต้องมีโฉนดถูกต้อง การดูแลเรื่องแรงงาน ต้องไม่ใช้แรงงานที่ผิดกฎหมาย การปล่อยเรื่องน้ำเสีย การบำบัด เป็นอย่างไร

ADVERTISMENT

ซึ่งเป็นการมองบียอนด์ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้า เพียงแต่ตอนนี้ ASC ยังไม่ได้เป็นมาตรฐานบังคับ แต่ถ้าเรามีและสามารถทำตามมาตรฐาน ASC ได้ ก็จะเป็นจุดแข็งที่ให้ลูกค้าทั่วโลกต้องการและให้พรีเมี่ยมกับการซื้อสินค้าจากเรา นับเป็นกลยุทธ์เดอะมัสก์ที่ต้องทำ” นายพีระศักดิ์กล่าว

ไทยยูเนี่ยนช่วยพัฒนาฟาร์มกุ้ง

ทางบริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ ได้ดำเนินการเรื่อง ASC ตามนโยบายเรื่องความยั่งยืนของกลุ่มไทยยูเนี่ยน (ทียู) คือ SeaChange 2030 กลยุทธ์นี้จะมีการซินเนอร์ยี่กันตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ โดยต้นทางฟาร์มเมื่อได้รับการรับรองมาตรฐาน ASC ก็ทำให้ห้องเย็นของเราสามารถส่งออกสินค้าไปได้ด้วย โดยการเข้าไปส่งเสริมให้เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งที่ยังไม่ได้รับใบรับรอง ASC ให้สามารถพัฒนาฟาร์มเพื่อให้มีมาตรฐานเพิ่มขึ้น

ADVERTISMENT

จากเดิมไทยจะใช้ระบบ GMP GAP เป็นมาตรฐานปกติ ก็จะต้องพัฒนาไปสู่มาตรฐาน ASC โดยบริษัทจะลงไปเป็นพี่เลี้ยง เป็นโค้ชชิ่ง ประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับจากการขายกุ้งได้ง่ายขึ้นก็จะทำให้บริษัทสามารถขายอาหารกุ้งได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

“ความพร้อมเกษตรกรไทยตอนนี้ถือว่ามากพอสมควร ปีหน้าเรามีแผนจะเข้าไปช่วยฟาร์ม 250 บ่อ เพื่อพัฒนาผลผลิตให้เข้าสู่มาตรฐาน ASC ซึ่งด้วยผลผลิตจะทำให้เราสามารถขยายตลาดอาหารกุ้งเข้าไปได้ 3,000 ตัน หากคิดเป็นจำนวนตู้ น่าจะได้เป็นร้อย ๆ ตู้ (ตู้ขนาด 20 ตัน) ทาง TFM ซินเนอร์ยี่เพราะมาตรฐาน ASC มาแน่อน

เรามองว่า TFM น่าจะทำได้มากที่สุดในอุตสาหกรรม เราจะเป็นผู้นำในเรื่องนี้เพราะบริษัทเน้นเรื่องความยั่งยืนเป็นหลัก แน่นอนว่าการทำเรื่องนี้จะต้องมีการลงทุนมากขึ้น แต่มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้เลี้ยงแต่ละรายเพราะบางรายมีการดำเนินการมาตรฐาน GAP อยู่แล้ว อาจจะต่อยอดไปได้อีกไม่ต้องลงทุนมาก ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากเกษตรกรฟาร์มกุ้งโดยเฉพาะรุ่นใหม่ที่เข้ามาในธุรกิจนี้เป็นอย่างดี

เพราะการมีใบรับรอง ASC จะทำให้ขายกุ้งได้ง่ายขึ้นเป็นพรีเมี่ยม แต่เราต้องไปช่วยเขาโค้ชชิ่ง ไปดูการทำเอกสารให้ถูกต้อง การออดิตต้องผ่าน เพราะการรับรองเป็นปีต่อปี” นายพีระศักดิ์กล่าว

ทั้งนี้ ข้อกำหนดมาตรฐาน ASC จะดูแลครอบคลุมทั้งหมด ทั้งสถานที่ การจัดการทั่วไป หลักการผลิต (คู่มือฟาร์ม) ปัจจัยการผลิต (อาหาร อาหารเสริม วิตามิน) การจัดการดูแลสุขภาพสัตว์น้ำ สุขลักษณะฟาร์ม น้ำทิ้งและตะกอน ยา สารเคมี และผลิตภัณฑ์ จุลชีพ การรวมกลุ่มและการฝึกอบรม และระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ รวมประมาณ 19 ด้าน

ขณะที่มาตรฐาน GAP ที่ไทยทำอยู่เดิม จะครอบคลุมประมาณ 11 ด้าน คือ ทะเบียนเกษตรกร สถานที่ การจัดการทั่วไป ปัจจัยการผลิต การจัดการสุขภาพสัตว์น้ำ ความหนาแน่นของลูกกุ้ง สุขลักษณะฟาร์ม และยา สารเคมี และจุลชีพเท่านั้น

ส.ห้องเย็นผนึกกำลัง ส.กุ้งไทย

ด้าน นายเอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย กล่าวว่า สมาคมกุ้งไทย ได้พบกับสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และได้รับทราบว่าตอนนี้ทางสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งต้องการให้เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งไทยปฏิบัติตามมาตรฐาน ASC มาก ๆ เพราะตลาดส่งออกหลักกุ้งไทย ทั้งสหรัฐ-สหภาพยุโรป-ญี่ปุ่น มีความต้องการสินค้ากุ้งที่ผลิตได้ตามมาตรฐานนี้

ผลจากการหารือ 2 สมาคมได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ในปี 2567 เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งนำโดย ประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้ง จ.สุราษฎร์ธานี ที่เข้าร่วมการหารือพร้อมกับกรรมการสมาคมกุ้งไทยได้ให้ commitment ว่า จะนำร่องโดยให้ฟาร์มกุ้ง จ.สุราษฎร์ฯ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตกุ้งที่ใหญ่ที่สุด

หรือผลิตได้ประมาณ 93,000 ตัน หรือ 1 ใน 3 ของประเทศ โดยฟาร์มกุ้งจะต้องผลิตตามมาตรฐาน ASC ให้ได้ เพราะมาตรฐาน ASC ถือเป็นมาตรฐานสูงสุดสำหรับกุ้งที่จะนำเข้าแล้ว โดยเฉพาะกุ้งที่ไปยังตลาดสหรัฐในปี 2567

หวังใช้เป็นใบเบิกทางเข้าสหรัฐ

ในปี 2567 ฟาร์มกุ้งใน จ.สุราษฎร์ธานี จะเข้าสู่มาตรฐานฟาร์ม ASC ที่เป็นมาตรฐานที่สูงสุดในโลก และเป็นมาตรฐานที่คู่ค้าสำคัญทั้งในสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่นต้องการ ดังนั้น กุ้งจากฟาร์มในจังหวัดสุราษฎร์ธานีจะนำร่องไปก่อน ตอนนี้แม้สหรัฐจะเปิดไต่สวนการทุ่มตลาด (AD) กุ้งจาก 4 ประเทศคู่แข่ง

คือ เอกวาดอร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย ไปแล้วก็ตาม แต่โอกาสในการส่งออกกุ้งไทยไปยังตลาดนี้ก็คือ ต้องมีใบรับรองมาตรฐาน ASC ถือเป็นใบผ่านทางสหรัฐ “ที่เราจะต้องทำให้ได้”

นายเอกพจน์ยังย้ำว่า ในอดีตประเทศไทยเคยเป็นผู้ผลิตและส่งออกกุ้งเบอร์ 1 ได้ถึง 600,000 ตันเมื่อปี 2554 ซึ่งตอนนั้นกุ้งไทยต้องพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐถึง 70% แต่หลังจากฟาร์มกุ้งเผชิญกับปัญหาโรคกุ้ง ทั้งโรคตายด่วน (EMS), โรคตัวแดงดวงขาว, โรคหัวเหลือง, โรคขี้ขาว ทำให้ปริมาณผลผลิตและการส่งออกกุ้งไทยลดลง จนถึงปีนี้ทั้งปี 2566 คาดว่าจะส่งออกกุ้งไปได้แค่ 280,000 ตันเท่านั้น

โดยในช่วง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค. 2566) ประเทศไทยส่งออกกุ้งไปแล้ว 109,663 ตัน มูลค่า 36,284 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 ที่ส่งออกปริมาณ 120,310 ตัน มูลค่า 42,341 ล้านบาท ปริมาณลดลง 9% ส่วนมูลค่าลดลง 14%

โดยตลาดหลักของไทย คือ ตลาดญี่ปุ่น มีสัดส่วน 23% คิดเป็นปริมาณ 27,155 ตัน มูลค่า 9,405 ล้านบาท รองลงมาคือ สหรัฐ สัดส่วน 22% คิดเป็นปริมาณ 23,964 ตัน มูลค่า 9,854 ล้านบาท และจีน สัดส่วน 20% ปริมาณ 22,112 ตัน มูลค่า 7,745 ล้านบาท

“แนวโน้มปี 2567 ไทยจะต้องกลับมาส่งออกได้เพิ่มขึ้น 10% หรือมากกว่า 300,000 ตัน โดยผลผลิตกุ้งโลกทรงตัวที่ 5 ล้านตัน เพราะตอนนี้เอกวาดอร์หยุดเพิ่มการเลี้ยงกุ้งจากที่เคยเติบโตปีละ 200,000-300,000 ตัน เพราะซัพพลายกุ้งล้นจึงทุ่มตลาดออกมาขายที่สหรัฐจนถูกเปิดการไต่สวน ทั้งมาตรการ AD-CVD ขณะที่ผลผลิตของประเทศคู่แข่งอื่น เวียดนาม-อินโดนีเซีย ก็น่าจะทรงตัวเช่นกัน และนี่จะเป็นโอกาสที่กุ้งไทยจะฟื้นกลับมาท่ามกลางข่าวร้ายของประเทศคู่แข่ง” นายเอกพจน์กล่าว