WHA ประกาศความแข็งแกร่งหลังผู้ถือหน่วย WHART คว่ำโหวตเพิ่มทุน เลื่อนไปปี 2568 มั่นใจไม่กระทบแผนลงทุนปีนี้ 25,000 ล้าน-แผนการลงทุน 5 ปี 7.8 หมื่นล้าน ยังคงเป้าหมายทำรายได้ New High ต่อเนื่อง กระแสเงินสดยังแข็งแกร่ง
วันที่ 24 มิถุนายน 2567 นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการเลื่อนแผนเพิ่มทุน ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) มูลค่าไม่เกิน 4.3 พันล้านบาทไปปี 2568 ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายรายได้ Net Profit กระแสเงินสด และแผนลงทุน ปีนี้ที่วางไว้ 25,000 ล้านบาท ซึ่งยังเป็นไปตามแผนลงทุน 5 ปี (2024-2028) 78,700 ล้านบาท
“หลังจากนี้มีแผนจะพบกับผู้ถือหน่วยลงทุนที่คว่ำโหวตเพิ่มทุนเพื่อทำความเข้าใจและสร้างความมั่นใจ เพราะเหตุผลที่ผู้ถือหน่วย WHART ไม่อนุมัติการเพิ่มทุนนั้น เนื่องจากผู้ถือหุ้นมีความไม่สบายใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ภาวะตลาดทุนและราคาหุ้นที่ลดลง เลยไม่อยากให้มีการเพิ่มทุน ซึ่งเราเข้าใจสถานการณ์แต่ขอให้มีความมั่นใจถึงความมั่นคงของกองทุน”
ทั้งนี้บริษัทได้เปรียบเทียบกองทุน WHART และ WHAIR ซึ่งจะเห็นว่าทั้ง 2 กองมีสัดส่วนโครงสร้างการเข้าไปลงทุนที่แตกต่างกัน โดยกองทุน WHART เน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสัดส่วน 65% ธุรกิจค้าปลีกสัดส่วน 20% และ WHA 15% โดยได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2015 และมีการจ่ายปันผลต่อเนื่อง ปี 2016-2023 มาเฉลี่ยปีละ 70 สตางค์ ทั้งยังมี Loan to Value เพียง 27.81%
ซึ่งจะมีแผนจัดทำโครงการ เช่น WHA Mega Logistics Center ถนนเทพารักษ์กิโลเมตรที่ 21 มูลค่า 1,701 ล้านบาท โดยมีลูกค้าคือ Lazada บริษัท YCS จากสิงคโปร์และบริษัท PCG ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ CP ส่วนอีกโครงการก็คือโครงการ WGCL International Distribution Center ซึ่งร่วมกับพันธมิตรคือ GC โลจิสติกส์ มูลค่าการลงทุน 2,587 ล้านบาท ซึ่งจะเห็นว่าเรามีลูกค้าบิวทูสูตรที่มีอัตราเช่า 100% มีความมั่นคงมาก
ขณะที่กองทุน WHART เน้นการลงทุนใน Retail สัดส่วน 50% ส่วนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 35% และการลงทุนใน WHA 50%
ยืนเป้าหมาย
ทั้งนี้บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้ทำสถิติสูงสุดใหม่ (All Time High) ต่อเนื่อง แม้จะไม่มีการขายสินทรัพย์เข้ากองรีท WHART ซึ่งจะได้รับเงินเข้ามากว่า 1 พันล้านบาท แต่บริษัทยังมีรายได้จาก 4 กลุ่มธุรกิจหลักที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจโลจิสติกส์ ที่คาดจะเติบโตโดดเด่น โดยยังคงเป้าหมายส่งมอบโครงการและสัญญาใหม่เพิ่มขึ้น 200,000 ตารางเมตร แต่การสร้างรายได้จากสินทรัพย์ใหม่จะลดลงไปจากแผนเดิม 40,000 ตารางเมตร และคาดการณ์ว่าสินทรัพย์รวมภายใต้กรรมสิทธิ์และการบริหารจะเพิ่มถึงระดับ 3,145,000 ตารางเมตร
ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ดินในปีนี้รวม 2,275 ไร่ แบ่งเป็นในประเทศไทย 1,650 ไร่ และในเวียดนาม 625 ไร่
ธุรกิจสาธารณูปโภค บริษัทตั้งเป้ายอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำรวมที่ 178 ล้านลูกบาศก์เมตร แบ่งเป็นภายในประเทศ 142 ล้านลูกบาศก์เมตร และในเวียดนาม 36 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมถึงตั้งเป้ามีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น (Secured PPA Equity MW) เพิ่มเป็น 1,000 เมกะวัตต์
ธุรกิจดิจิทัล (Digital) เดินหน้าพัฒนาธุรกิจใหม่ ทั้งธุรกิจ Healthcare และ Super Diver App เพื่อส่งเสริมแนวทางโครงการ Green Logistics
ไม่กระทบแผนการลงทุน
พร้อมกันนี้นางสาวจรีพรอธิบายว่า เรื่องนี้จะไม่กระทบแผนการลงทุนในปีนี้ที่วางงบประมาณไว้ 25,000 ล้าน โดยมีการลงทุนเพิ่ม 5,000 ล้านบาทจากเดิม เนื่องจากมีการตั้งบริษัทโมบิลิกและการขับเคลื่อนแผนกรีนโลจิสติกส์
ส่วนแผนการจัดซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทวางงบประมาณไว้ที่ 8,000 ล้านบาท ได้มีการจัดเตรียมที่ดินไว้แล้ว 8,800 ไร่ ซึ่งเพียงพอใช้ไปอีกถึง 5 ปีหากคาดการณ์ว่าจะสามารถจำหน่ายที่ดินได้ปีละ 2,000 ไร่ โดยยังไม่ต้องมีการซื้อที่ดินเพิ่มและยังมีเงินเหลืออีก 3,000 ล้านบาท
ส่วนงบฯลงทุนในช่วง 5 ปี (ปี’67-71) ยังคงมูลค่าไว้ประมาณ 78,700 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นธุรกิจนิคม 33,000 ล้านบาท ธุรกิจสาธารณูปโภค 21,200 ล้านบาท ธุรกิจโลจิสติกส์ 21,000 ล้านบาท และธุรกิจดิจิทัล 3,500 ล้านบาท
แง้มข่าวดี
นอกจากนี้บริษัทเตรียมจะทำสัญญาในการส่งมอบที่ดินในการจัดทำ Data Center ภายในปีนี้ และยังมีแผน Spin off บริษัทลูกเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นภายในปีหน้า ส่งผลให้จะมีกระแสเงินสดเข้ามาเพิ่มเติม และไม่มีความกังวลว่าเรื่องดังกล่าวจะกระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัท