อาหารสัตว์ยั่งยืนมาแรง TFM ชูมาตรฐาน ASC เบอร์ 3 โลก

พีระศักดิ์ บุญมีโชติ ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์
พีระศักดิ์ บุญมีโชติ
สัมภาษณ์

ผลสำเร็จของบริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM กับรายได้สะสม ครึ่งปีแรกที่ 2,545.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและมีกำไรสุทธิ 233.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,064.1% เป็นบทพิสูจน์ฝีมือของ “พีระศักดิ์ บุญมีโชติ” นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TFM ตั้งแต่ต้นปี 2566 จากเดิมที่ดูแลธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งยาวนาน 25 ปี

“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ “พีระศักดิ์” ถึงแนวทางการบริหารธุรกิจอาหารสัตว์ที่กำลังเปลี่ยนผ่านตามเทรนด์ด้านความยั่งยืนของโลก ด้วยการ ปรับสู่มาตรฐานอาหารสัตว์ ASC Feed จาก Aquaculture Stewardship Council สำเร็จเป็นรายแรกในเอเชีย และเป็นที่ 3 ของโลก ตอบโจทย์ตลาดยุคใหม่

จุดพลุ ASC สร้างการจดจำ

พีระศักดิ์​ฉายภาพว่า เราพยายามพัฒนาการผลิตสู่มาตรฐานสากล ASC ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลกที่ลูกค้าเป็นผู้เรียกร้องให้ทำอย่างต่อเนื่อง

เพราะต่างชาติจะมองเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นหลัก ลูกค้าวันนี้ไม่ได้ต้องการค้าขายสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการดูแลสิ่งแวดล้อม และสังคม ซึ่งเราก็ตอบโจทย์ลูกค้าเรื่องความยั่งยืนได้ ที่ผ่านมากุ้งส่งออกของ Thai Union Group เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก จากมาตรฐานการดำเนินงานด้านความยั่งยืนผ่านกลยุทธ์ SeaChange มีการวางโรดแมป 2030 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

“ปีก่อนโรงงานอาหารทำ ASC ก่อน เพราะเป็นมาตรฐานเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และสังคม พอเราทำได้ ทั้ง ASC และ BAP ทำให้กลุ่มเรามีจุดแข็ง เพราะตอนนี้ลูกค้าจากอเมริกา เรียกร้องมาตรฐาน ASC ส่วนกลุ่มอีกกลุ่ม 3 ดาวก็จะชอบ BAP (ดูแลเรื่องการเลี้ยง การไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ ไม่ดูแลสังคม) แต่เราทำได้ทั้งหมด”

ทำอาหารยั่งยืนขายแพงได้

“การทำเรื่องนี้คุ้มลงทุน เพราะว่าลูกค้ายอมจ่ายราคาบวกเพิ่ม 5-10% ลูกค้ารับได้ แน่นอนเราไปสู้ด้านปริมาณกับคู่แข่งทั่วโลกไม่ได้ แต่เราสู้เรื่องนี้ได้ อย่างน้อยถ้าเขาซื้อกุ้งจากไทย 100 ตู้ จะต้องมีของกุ้งที่กินอาหารที่ได้มาตรฐาน ASC เข้าไป 10-20%

ADVERTISMENT

ดังนั้น วันนี้ลูกค้ารายใหญ่ของโลกไม่ว่าจะเป็น เบอร์เกอร์คิง แมคโดนัลด์ คอสโก วอลมาร์ต แซมคลับ อิออน โคเวิร์ล รีเทลยักษ์ใหญ่ทั่วโลกเขาปรับยอมรับเรื่องนี้หมด เรามีออร์เดอร์เข้ามาแล้ว นี่คือความแตกต่าง ถ้าเราทำก่อน ทำให้เกิดความจดจำให้ลูกค้าได้ก่อน อย่างน้อยถ้าเราผลิต 40,000-50,000 ตัน เรามีมาตรฐานนี้ 4,000-5,000 ตันก่อน”

สำหรับกระบวนการทำ ASC เราออกไปให้ความรู้เกษตรกรผู้เลี้ยง ในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิตของเราสามารถคำนวณคาร์บอน
ฟุตพรินต์ได้ว่าปล่อยคาร์บอนเท่าไร เอาเรื่องต่าง ๆ ที่ทำไปคุยกับลูกค้าว่าหากเราซื้อบราซิล เอกวาดอร์ จะยังไม่มีพวกนี้เลย นี่จึงเป็นจุดแข็งหรือพรีเมี่ยมของเราที่จะไปสู้ในตลาดโลก

ADVERTISMENT

“ตอนนี้ลูกบ่อทำ 20-25% ค่อย ๆ จะเพิ่มให้ถึงเป้า 100% ปี 2030 พอเราทำสำเร็จ เวียดนามทำตามกำลังจะอิมพลีเมนต์ตามเรา 1 โรงงานในปีนี้”

ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์

ครึ่งปีกำไรโตพรวด 1,000%

โต 1,000% เพราะทำหลายเรื่องมาก หลัก ๆ บริหารจัดการต้นทุนการผลิตในโรงงาน และเพิ่มยีลด์ เป็นเรื่องที่ทำมาทุกปี โดยไปดูการปรับปรุงเครื่องจักรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการใช้พลังงาน พัฒนาโซลาร์มากขึ้น เพราะโรงงานคือหัวใจของกลุ่ม ต้นทุนการบริหารจัดการหลังจากดูแลทำให้เราเซฟไปถึง 5% เป็นจุดหลัก ประกอบกับราคาวัตถุดิบตัวหลักลดลง 2-3% ปีนี้ พอเราจัดการในบ้านราคาเฉลี่ยน้อยลง เรื่องหนี้เราก็จัดการดีขึ้น

ทั้งนี้ ปัจจุบัน TFM มีโรงงาน 4 โรง คือ ที่สงขลาและมหาชัย มีทั้งปลาและกุ้ง, บริษัท พีที ไทยยูเนี่ยน คาริสมา เลสทารี จำกัด หรือ TUKL ที่อินโดนีเซีย และที่ปากีสถาน

ส่วนภาพรวมกำลังผลิต แบ่งเป็น อาหารกุ้งกำลังผลิต 150,000 ตัน สัดส่วนยอดขาย 63% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 60.6% รองลงมาคือ อาหารปลา 90,000 ตัน สัดส่วนยอดขาย 29.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 29.3% ที่เหลือ อาหารสัตว์บก 6.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.7% และยอดขายสินค้าอื่น ๆ อีก 0.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีสัดส่วน 1.4% ทั้งนี้ ปัจจุบันใช้กำลังการผลิตรวม 70%

ทั้งนี้ รายได้จากโรงงานในต่างประเทศคิดเป็น 20% สัดส่วนรายได้ในไทย 80% ซึ่งในจำนวนนี้เป็นขายภายใน 84.1% และส่งออกจากไทยไปอีก 2.9% ไปยังตลาดหลัก คือ ศรีลังกา ซึ่งกำลังมองหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ ไปยัง ประเทศเวียดนาม และมาเลเซีย 

ปี’67 เติบโต 5-8%

ปีนี้เราตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 5-8% จากโอกาสในการขยายตลาดในประเทศ ซึ่งภาพรวมตลาดอาหารกุ้งในประเทศ 13,000 ล้านบาท อาหารปลา 10,000 ล้านบาท รวม 23,000 ล้านบาท มีเทรนด์การบริโภคเพิ่มขึ้นเพราะมีนักท่องเที่ยวมากขึ้น ราคาวัตถุดิบลดลง กุ้งเราครองส่วนแบ่งตลาด 1 ใน 5

“อาหารกุ้ง เรามีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นจาก 17% มาเป็น 20% อีก 4 เดือนนับจากนี้ตัวเลขน่าจะเพิ่มเป็น 21-22% ยังมีรูม ผมต้องการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดอาหารกุ้งจาก 20% เป็น 28-30% ใน 3 ปี ส่วนอาหารปลากะพงเราเป็นผู้ครองตลาดเบอร์ 1 มีแชร์ 37% ในช่วงปลายปีจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มอาหารปลาน้ำจืด”

ขยายตลาดส่งออก

ปีนี้เราขยายไปยังตลาดส่งออกใหม่ ๆ เริ่มเจาะ 5-6 ประเทศ เช่น ซาอุดีอาระเบีย ศรีลังกา อาเซียน ขณะที่อินเดียได้ร่วมกับ Avanti พาร์ตเนอร์ที่ทียูถือหุ้น 24% บริษัทนี้มี Market Share เป็นอันดับ 1 ในอินเดียในการขายอาหารกุ้ง เพราะมีการเลี้ยงมากถึง 1.1-1.2 ล้านตัน ใกล้เคียงกับเอกวาดอร์

แต่เรามีแผนจะขยายอาหารปลาในไตรมาส 3-4 ปีนี้ นี่คือกุญแจอีกดอกที่ทำให้เราเติบโต เขาอยากทำโมเดลเหมือนไทย เพราะปลานิล ปลาช่อน ปลาทับทิม ที่นั่นเริ่มเติบโต เราก็ส่งมอบอาหารที่ดีและโนว์ฮาวให้เขา

อินโดนีเซีย New Engine

จำนวนกุ้งในไทยไม่ได้เพิ่มขึ้นมากหลังการระบาด EMS ดังนั้น ผมได้ขยายไปลงทุนที่ TUKL อินโดฯ เมื่อ 2 ปีก่อน เพื่อขยายมาร์เก็ตแชร์

“วันนี้มาร์เก็ตแชร์ในอินโดฯแค่ 1-2% เราอยากขยับเป็น 10-15% ฉะนั้นเราต้อง
ใส่เอฟฟอร์ด กำลังการผลิตในอินโดฯ 2,000-2,500 ตัน/เดือน ซึ่งปัจจุบันการกินอาหารแค่ 6 แสน ต้องเพิ่มเป็น 1 ล้านตัน เราโฟกัสมาก เพราะเราเห็นโอกาสอินโดฯจะเป็น New Engine ให้เรา เพราะอินโดฯมีกุ้ง 5-6 แสนตัน มากกว่าไทยที่มี 3 แสนตัน ตลาดนี้โตมากเฉพาะในไตรมาส 2 ตลาดอินโดฯมีรายได้เติบโตมากกว่า 115% คิดเป็นสัดส่วน 11.8% จากทั้งหมด ถ้าตลาดขยายเราพร้อมขยาย Phase 2 ถ้าโตเพิ่มได้อีก 3-4 ไลน์การผลิตรองรับ”

แผนลงทุนของ TFM 3 ปี

ใน 2-3 ปีเราจะเติบโตทั้งในประเทศ โดยการขยายมาร์เก็ตแชร์และขยายตลาดส่งออกมากขึ้น โดยเราจัดทำแผนงาน 3 ปี (2568-2570) เป้าหมายปี 2570 โตประมาณ 15-20% ปี 2568 น่าจะเติบโตใกล้เคียงปีนี้ 5-8% โดยคิดว่าปี 2568 อาจยังไม่มีการลงทุนใหม่ ๆ จึงจะโตแบบ Organic Growth หลังจากเริ่มหว่านเมล็ดข้างในไว้ หลังจากนั้น ปี 2569 จะเริ่มมีการลงทุนใหม่ ๆ ให้เห็นทั้งใน หรืออาจจะต่างประเทศ TFM ก็พร้อมลงทุน

เนื่องจากปัจจุบันมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนค่อนข้างต่ำ โดยถ้าหากพิจารณาแค่หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน จะอยู่ที่ 0.08 เท่า เท่านั้น

“ผมอยู่ในโฟรเซ่นมา 25 ปี จึงนำกลยุทธ์จากโฟรเซ่นและฟีดมาบวกกันเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดของกลุ่ม จุดแข็งของสินค้า TFM คือ เรามีบายโปรดักต์จากทูน่า นิวทริชั่นค่อนข้างได้เปรียบ และจากผลประกอบการจะเห็นเราเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการผลิต และเรายังได้ปรับลดสัดส่วนสินค้ากลุ่มอาหารสัตว์บกลงจาก 10% เหลือ 6% เพราะเป็นอาหารที่กำไรน้อย และหันไปขายตัวที่มาร์จิ้นดี”

ส่วนความท้าทายต่ออุตสาหกรรม ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวังคือ โรคระบาดในกุ้ง น้ำท่วม ซึ่งอาจจะให้ผลผลิตกุ้งในประเทศปรับตัวลดลงกระทบต่อปริมาณการใช้อาหารสัตว์ ส่วนเรื่องความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย หรือชะลอตัว อาจจะกระทบบ้างแต่ไม่มากนัก และเราเองก็ต้องบริหารจัดการการปรับตัว ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และพัฒนาพลังงานโซลาร์ รวมถึงดึงระบบ Automation มาใช้มากขึ้น จึงไม่ได้รับผลกระทบจากค่าแรง