
‘บางกอกเคเบิ้ล’ ตั้งเป้า ปี’67 ปั๊มรายได้ 16,000 ล้านบาท เพิ่มกำลังการผลิตเพิ่ม 60,000 ตัน ฉลองเส้นทางผู้นำธุรกิจสายไฟ 60 ปี รุกขยายตลาดภูมิภาค รับอานิสงส์ พลังงานสะอาด EV สมาร์ทซิตี้ หนุนต้องการผลิตไฟฟ้าทั่วโลกโต 3 เท่า เดินหน้า 3 กลยุทธ์ 3 เซฟ เสริมแกร่งธุรกิจ
วันที่ 27 สิงหาคม 2567 นายพงศภัค นครศรี กรรมการบริหาร บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) กล่าวว่า ในปี 2567 บริษัทได้ตั้งเป้ารายได้จากการดำเนินงานไว้ที่ 16,000 ล้านบาท จากในปี 2566 มีรายได้ 12,800 ล้านบาท และจะเพิ่มกำลังการผลิตรวมจาก 55,000 ตันต่อปีในปัจจุบัน สู่ 60,000 ตันต่อปีภายในสิ้นปีนี้
โดยบริษัทจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดสายไฟจาก 25% เป็น 35% จากมูลค่าตลาดรวมของอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าและสายเคเบิลในประเทศไทยในปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ 50,000 ล้านบาท จากมีผู้ประกอบการไทยและต่างชาติที่มีฐานการผลิตในประเทศไทยประมาณ 4-5 ราย
ปัจจัยหนุน ‘ดีมานด์’ โต
ปัจจัยสำคัญที่จะมีผลดีต่อตลาด จากการที่ในอนาคต โลกจะมีความต้องการการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึงราว 3 เท่าตัว พร้อมทั้งเปลี่ยนผ่านไปใช้แหล่งไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนถึงราว 91% ภายในปี ค.ศ. 2050 ส่งผลให้จะมีความต้องการสายไฟฟ้าถึงราว 80 ล้านกิโลเมตร โดย รถ EV จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานไฟฟ้า และทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
“ความต้องการสายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากหลากหลายปัจจัย ทั้งนโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City ทั่วประเทศ การเดินหน้าแผนพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัย หรือ Grid Modernization การขยายตัวต่อเนื่องของธุรกิจที่ต้องการใช้ไฟฟ้ามหาศาล การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานทดแทนของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้สอดคล้องกับทิศทาง Net Zero สายไฟฟ้าจะเป็นอีกหนึ่ง Key Driver ที่ช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานหมุนเวียน และขับเคลื่อนอนาคตของเมือง” นายพงศภัคกล่าว
เปิดตัวสินค้าใหม่
โดยในปีนี้บริษัทได้พัฒนาสินค้าใหม่ ๆ เช่น สายไฟฟ้าแรงดันสูงพิเศษ (Extra High Voltage) ชนิด 230 กิโลวัตต์ รุ่น 230kV CE(CAS) รองรับการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางไฟฟ้า การนำสายไฟลงดินเพิ่มสุนทรียภาพของเมือง การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และตัวนำอะลูมิเนียมคอมโพสิตหลัก (ACCC® Conductor)
ขณะเดียวกัน BCC มีแผนจะดำเนินการ เพื่อรองรับการเติบโต ของ EV 3 ส่วน ได้แก่ 1. EV charger Station มากกว่า 70% ของสถานีชาร์จเป็นสายไฟฟ้าของ BCC
2. พัฒนา EV charger Cable จากตัวเครื่องชาร์จไปสู่รถยนต์ ซึ่ง BCC เป็นรายแรกของไทยในการร่วมกับพันธมิตรในการพัฒนาโครงการดังกล่าว
3. สายไฟฟ้าในตัวรถยนต์ BCC มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน โดย มีโครงการร่วมกับค่ายรถญี่ปุ่น เช่น โตโยต้า, ฮอนด้า ใช้สายไฟในระบบรักษาความปลอดภัย
“ ถ้าเรามีโอกาสในการขยายตัวของประเทศไทยไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า เชื่อว่าค่ายรถที่เข้ามาจำเป็นต้องพึ่งพา supply chain ในไทย BCC ก็มีความพร้อมในการตอบโจทย์ความต้องการและก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรม EV” นายพงศภัคกล่าว
ลุยธุรกิจครอบคลุม 7 อุตสาหกรรม
สำหรับการดำเนินงาน ตลอด 60 ปีที่ผ่านมา บริษัทและสายไฟฟ้าของบริษัทได้มีส่วนช่วยเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภคของประเทศ เช่น การพัฒนาสายไฟฟ้าใช้ในโครงข่ายของระบบส่งไฟฟ้าแรงสูง การริเริ่มนำสายไฟฟ้าลงดิน ตลอดจนการเชื่อมต่อสายส่งในระบบรถไฟฟ้าโดย BCC ให้บริการครอบคลุม 7 กลุ่มการใช้งาน ได้แก่
1.ระบบผลิตและส่งพลังงานไฟฟ้า (Transmission) เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
2.ระบบจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า (Distribution) เช่น PEA, การไฟฟ้านครหลวง
3.ระบบไฟฟ้าภายในบ้านพักและอาคาร (Construction and Building) เช่น ITALTHAI, SANSIRI, PRUKSA
4.ระบบขนส่งและคมนาคม (Transportation and Mobility) เช่น BTS, AOT, BEM, B-GRIM
5.ระบบไฟฟ้าในโรงงาน และภาคอุตสาหกรรม (Industrial) เช่น PTT, SCG, Thaioil
6.พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เช่น GUNKUL, GULF, BSP, SPCG
7.ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ (Automotive) เช่น TOYOTA, HONDA
ปัจจุบัน มีลูกค้าโครงการขนาดใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่ใช้สายไฟฟ้าของบางกอกเคเบิ้ล เช่น โครงการวัน แบงค็อก (One Bangkok), Dusit Central Park, สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น
ตั้งเป้าสู่ผู้นำธุรกิจสายไฟอาเซียน
BCC ตั้งเป้าในการเป็นผู้นำธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิลในภูมิภาคอาเซียน ภายในปี 2569 โดยจะดำเนินงานผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.การขยายสู่ตลาดภูมิภาค (Global Expansion) โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งบริษัทมีข้อได้เปรียบในการแข่งขันและกลายเป็นผู้นำด้านสายไฟฟ้าอันดับ 1 ในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กลุ่มประเทศ CLMV (เมียนมา กัมพูชา ลาว และเวียดนาม)
ซึ่งเมียนมาถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเพื่อนบ้าน มียอดขายเกิน 3,000 ล้านบาทภายใน 3 ปี นอกจากนี้ยังตั้งเป้าที่จะเปิดตลาดใหม่ในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย และเม็กซิโก
2.การพัฒนาโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) บูรณาการเทคโนโลยีใหม่ ๆ และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสายไฟ มุ่งสู่อุตสาหกรรม 4.0
3.การเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) ฉลอง 60 ปีบางกอกเคเบิ้ล ด้วยการยึดมั่นบริหารจัดการอย่างมีธรรมาภิบาล ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคม ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และผลิตสายเคเบิลที่จำเป็นในการรองรับความต้องการด้านไฟฟ้าของโลกยุค Net-Zero
ชูจุดแข็ง 3 เซฟ
นายพงศภัคกล่าวต่อไปว่า BCC ได้ดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักแนวคิด 3 เซฟ “เซฟคน เซฟเมือง เซฟสิ่งแวดล้อม” เพื่อยกระดับความปลอดภัยของทุกคนและขับเคลื่อนเมืองสู่อนาคต ได้แก่
1.เซฟคน ปกป้องบ้านจากอันตรายที่มองไม่เห็น มอบความปลอดภัยให้ทุกคนในครอบครัว ด้วยสายไฟที่ผลิตจากวัสดุที่มีคุณภาพสูงสุด อาทิ สายไฟฟ้าจากทองแดงบริสุทธิ์ 99.99% อะลูมิเนียมบริสุทธิ์ 99.7% ที่นำไฟฟ้าได้ดีเยี่ยม ทนทานต่อการกัดกร่อน ปลอดภัยต่อการใช้งาน สายทนไฟที่ผ่านการทดสอบคุณสมบัติทนความร้อนได้ดี
2.เซฟเมือง ร่วมพัฒนาระบบไฟฟ้าของประเทศ รองรับการขยายตัวของเมืองและกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ด้วยสายไฟฟ้าที่ผ่านการรับรองมาตรฐานคุณภาพชั้นนำระดับนานาชาติ การทดสอบคุณภาพสายไฟในห้องปฏิบัติการทดสอบทางไฟฟ้า (Lab) ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย การบริการรถทดสอบสายไฟฟ้าแรงดันสูงเคลื่อนที่บริเวณหน้างานของลูกค้า ตลอดจนการพัฒนาโปรดักต์ใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเมือง
และ 3.เซฟสิ่งแวดล้อม เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานหมุนเวียนที่เกี่ยวข้องกับสายไฟฟ้า เพื่อเชื่อมโยงประเทศไทยสู่เส้นทางอนาคตในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์