
กรมเจรจาฯ เร่งผลักดันตั้งกองทุนช่วยเอสเอ็มอีลดผลกระทบจากการเปิดเสรี หลังรัฐโหมทำ FTA คาดเงินเริ่มต้น 1,000 ล้าน ขอจากงบประมาณ พร้อมกำหนดหลักเกณฑ์ให้ความช่วยเหลือ คาดเป็นรูปธรรมภายในปีนี้
นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปี 2568 กรมยังคงเดินหน้าผลักดันกองทุนช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า เพราะนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญในการสร้างแต้มต่อการแข่งขันให้กับประเทศ โดยการเดินหน้าเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA)
โดยที่ผ่านมากรมได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติกองทุนช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า พ.ศ. … (ร่าง พ.ร.บ.กองทุน FTA) จากหน่วยงานของรัฐ, ภาคการเกษตร, ภาคอุตสาหกรรม, ภาคบริการ หรือแม้กระทั่งภาคประชาสังคม ซึ่งอยู่ระหว่างสรุปความคิดเห็นทั้งหมดเพื่อเสนอให้กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ก่อนนำไปสู่การยกร่าง และเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พิจารณาเพื่อเข้ารัฐสภาต่อไป
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับช่วยเหลือ เยียวยา และบรรเทาผู้ที่ได้รับหรือคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า ในภาคการผลิต ทั้งเกษตร อุตสาหกรรม และภาคบริการ ตลอดจนเป็นกองทุนที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพการแข่งขัน ให้สามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้าได้
ทั้งนี้ หลักการเบื้องต้น คาดว่าเงินเริ่มต้นของกองทุนจะอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท โดยมาจากเงินงบประมาณ และจำเป็นต้องมีกฎหมายย่อยกำหนดหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม พบว่าปัจจุบันมีกองทุนในลักษณะเดียวกันอยู่หลายกองที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ จะผลักดันให้เห็นเป็นรูปธรรมภายในปี 2568
รายงานข่าวระบุว่า ผลการศึกษาการจัดทำกองทุน FTA นั้น ต้องจัดทำ พ.ร.บ.เฉพาะให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.การบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 และ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยกองทุนควรได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลเพิ่มเติมทุกครั้งที่มีการจัดทำ FTA ฉบับใหม่ ๆ และภาคเอกชนควรมีส่วนร่วมในการนำส่งรายได้เข้ากองทุนด้วย อีกทั้งทีมบริหารกองทุนควรทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ เอกชน กลุ่มเกษตรกร หรือวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ เพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาอย่างตรงจุด และควรจัดทำฐานข้อมูลกลุ่มเป้าหมายที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ รวมถึงผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือแล้ว โดยต้องติดตามประเมินผลความช่วยเหลือ