“สนธิรัตน์” จ่อขายไฟเมียนมาผ่านเเม่สอด-เมียวดี พร้อมหนุนปตท.ลงทุนปิโตรเคมี-ก๊าซธรรมชาติ

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับประเทศเจรจา รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศด้านพลังงาน ในการประชุม AMEM ครั้งที่ 37 ว่า ได้เจรจาหารือทวิภาคีกับประเทศเมียนมา เพื่อหาแนวทางผลักดันอาเซียนพาวเวอร์กริด โดยล่าสุดเมียนมาแสดงความความต้องการที่จะรับซื้อไฟฟ้าจากไทย เนื่องจากเมียนมาอยู่ในช่วงที่กำลังพัฒนาประเทศ และต้องการขยายการขยายธุรกิจ รวมถึงภาคอุตสาหกรรมอุตสาหกรรมแต่ยังมีพื้นที่ที่ขาดแคลนไฟฟ้าอยู่รวมกว่าครึ่ง 50% ของประเทศ ซึ่งจะมีการตั้งคณะทำงานร่วมร่วมกันเพื่อศึกษาด้านเทคนิคและระบบการซื้อขาย

“เมียนมามีความต้องการไฟฟ้าสูงมากในขณะที่ไทยเองก็มีศักยภาพที่จะส่งไฟฟ้าไปให้โดยเป็นไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ เบื้องต้นจากการหารือจะส่งผ่านจากพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ไปยังเมืองเมียวดี เมียนมา โดยในพื้นที่มีสายไฟขนาด 250 กิโลวัตต์ (KV) รองรับอยู่แล้ว แต่จะต้องมาดูเงื่อนไขด้านราคาอีกที ให้สอดคล้องไปกับปริมาณ ซึ่งอนาคตอาจจะมีความร่วมมือซื้อขายไฟฟ้าเหมือนกับที่ไทยร่วมกับลาวและมาเลเซีย (LTM) ซึ่งล่าสุดสิงคโปร์ได้ตกลงร่วมมือเพิ่มมาอีกหนึ่งประเทศ โดยต่อไปอาจจะมีเมียนมา และกัมพูชาร่วมด้วย “นายสนธิรัตน์ กล่าว

นอกจากนี้ได้พูดคุยถึงความสนใจเข้าไปลงทุนธุรกิจก๊าซและปิโตรเคมี ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เมียนมากำลังขยายตัว โดยจะลงทุนทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ ซึ่งกระทรวงฯได้มอบหมายให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ไปดำเนินการเพื่อให้เกิดความชัดเจน ขณะที่การลงทุนด้านก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี) จะต้องไปดูแนวทางการพัฒนาพัฒนาระบบท่อเพื่อรองรับการขนส่ง ส่วนด้านก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี)มีผู้ประกอบการไทยบางรายไปลงทุนอยู่แล้ว ซึ่งจะหารือกันในระดับรัฐบาลเพื่อให้เกิดนโยบายส่งเสริมการลงทุนเพิ่มเติมด้วย

นายสนธิรัตน์ กล่าวต่อว่า ในปีนี้ถือเป็นปีที่สำคัญของประเทศไทย ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 37 (37th ASEAN Ministers on Energy Meeting and Associated Meetings : 37th AMEM) ซึ่งเป็นเวทีความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างประเทศอาเซียน 10 ประเทศ และถือเป็นความสำเร็จของประเทศไทยอีกครั้ง ที่ผู้ประกอบการไทยสามารถคว้ารางวัลด้านพลังงานทดแทนและด้านการอนุรักษ์พลังงานในเวที อาเซียน เอนเนอร์ยี่ อวอร์ด ประจำปี 2562 (ASEAN Energy Awards 2019) รวมทั้งสิ้น 23 รางวัล ซึ่งถือเป็นประเทศที่ได้รับรางวัลในเวทีนี้มากสุดต่อเนื่องเป็นปีที่ 10

โดยนายยงยุทธ จันทรโรทัย อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กล่าวว่า พพ.ได้จัดกิจกรรมในการส่งเสริมให้ภาครัฐและเอกชนร่วมกันอนุรักษ์พลังงานและใช้พลังงานทดแทนมาอย่างต่อเนื่องการขับเคลื่อนส่งเสริมพลังงานทดแทนภายใต้แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน (EEP) ซึ่งเป็นแผนระยะยาว 20 ปี โดยไทยมีเป้าหมายไว้ชัดเจนในการส่งเสริมให้เกิดการลงทุน การพัฒนาและวิจัยเพื่อก่อให้เกิดความมั่นคงพลังงาน ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ความมุ่งมั่นดังกล่าวได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพเอกชนไทยที่ได้รางวัลมากที่สุดในเวที อาเซียน เอนเนอร์ยี่ อวอร์ด ต่อเนื่องเป็นปีที่10” นายยงยุทธกล่าว