5 วิกฤตทุบจีดีพีไทยวูบ 2 แสนล้าน ม.หอการค้า หวั่นทั้งปีไม่ถึง 2.5%

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจการประเมินผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่มีต่อเศรษบกิจไทยในปี 2563 พบว่า การประเมินการขยายตัวเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของประเทศไทยทั้งปี ยังคงตัวเลขอยู่ที่ 2.8% โดยจะประเมินอีกครั้งหลังสถานการณ์ต่างๆชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะปัจจัยฝุ่น PM 2.5 ไวรัสโคโรน่าและการแพร่ระบายส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้าภายในประเทศลดลง ปัญหาภัยแล้ง งบประมาณปี 2563 ล่าช้า โดยปัจจัยเหล่านี้หากยืดเยื้อมีแนวโน้มต่ำให้ จีดีพี ไทยมีโอกาสโตต่ำกว่า 2.5% เม็ดเงินหายออกจากระบบเศรษฐกิจ 190,000-220,000 ล้านบาท

จากปัจจัยของไวรัสโคโรน่า ขณะนี้ประเมินเบื้องต้นพบว่ากระทบต่อภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวหายไปโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน รวมไปถึงนักท่องเที่ยวชาติหรือแม้กระทั่งนักท่องเที่ยวไทย และจะกระทบต่อการจับจ่ายและกำลังซื้อภายในประเทศ จากการวิตกเรื่องนี้และการใช้จ่ายส่วนใหญ่จะไปอยู่ในกลุ่มของสุขภาพมากขึ้น เห็นได้จากความต้องการซื้อหน้ากากอนามัย ขณะที่ การคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจจีนในปี 2563 นี้อาจจะลดลง 0.5-1.0% ทั้งปีอาจจะขยายตัวเหลือเพียง 4.9-5.4% จากปัจจัยดังกล่าว โดยคาดว่าว่าปัญหาไวรัสจะสามารถควบคุมได้ภายใน 4-5 เดือนจากนี้

ปัญหาของฝุ่น PM 2.5 มองว่าความรุนแรงไม่เกิน 1 เดือน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถดูแลได้ จากปัญหานี้ผู้ประกอบการ ผู้บริโภคสามารถปรับตัวได้ และหน่วยงานภาครัฐสามารถที่จะควบคุมดูแลได้ภายใน 2-3 เดือย ส่วนผลกระทบจากภัยแล้งเกิดขึ้นเป็นพื้นที่ และสินค้าบางเฉพาะโดยเฉพาะสินค้าในภาคเกษตร ซึ่งปัญหานี้ผู้ที่ได้รับผลกระทบได้แก้ไขปัญหาโดยการหาแหล่งน้ำมเพิ่มเติม ขุดเจาะบาดาล อย่างไรก็ดี ปัญหาเหล่านี้กระทบต่อ จีดีพี ของประเทศไม่มากโดยเม้ดเงินที่จะหายออกจาระบบเศรษฐกิจเพียง 16,400 ล้านบาท

ขณะที่ ปัญหาเรื่องของงบประมาณปี 2563 คาดว่าจะล่าช้าออกไป ปัจจุบันงบประมาณเหลือใช้เพียง 500,000 ล้านบาท สามารถเบิกใช้ได้ถึงเดือนมีนาคม 2563 ศูนย์พยากรณ์ฯ ประเมินหากเบิกจ่ายงบประมาณช้าไป 6 เดือน โดยหากสามารถเริ่มเบิกจ่ายจริงได้เมษายน 2563 จะทำให้เม็ดเงินในระบบหายไป 77,500 ล้านบาท กระทบ จีดีพี 0.44% หรือหากล่าช้าไป 8 เดือน เบิกจ่ายจริงได้มิถุนายน 2563 เม็ดเงินในระบบจะหายไป 167,000 ล้านบาท กระทบ จีดีพี 0.96% จากปัญหาต่างๆเหล่านี้สามารถดูแลควบคุมจัดการไม่ให้กระทบหรือใช้เวลายาวนานเกินไป เชื่อว่าจะทำเศรษฐกิจดีได้ ส่วนการประเมินตัวเลขขอติดตามสถานการณ์อีกครั้ง

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องการที่หน่วยงานภาครัฐจะต้องดำเนินการ คือ การจัดทำตลาดเชิงรุกโดยเฉพาะตลาดที่มีศักยภาพ การออกฟรีวีซ่าระยะสั้น การเร่งรัดการเบิกจ่ายงยประเมาณที่กันไว้จากปีก่อน หรืองบประเมินค้างท่อ เร่งรัดให้รัฐวิสาหกิจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เบิกจ่าบงบประเมิน กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการสินเชื้อเฉพาะกิจ ให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อเป็นการจูงใจด้านการลงทุน ผ่อนคลายกฎระเบียบเพื่ออำนวยให้กับธนาคารพาณิชย์ และบริการจัดการเนื่องชองค่าเงินบาทให้อยู่ที่ 31.5-32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ