เร่งแผนรับฝนน้ำท่วมซ้ำซาก กทม. ประวิตรจี้แก้น้ำเค็มช่วง 17 เม.ย.

ประวิตรสั่ง สทนช. ผนึก กทม. – ชป. – กรมอุทกศาสตร์ เร่งแผนป้องกันน้ำท่วม กทม.ก่อนเข้าหน้าฝน พร้อมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำเค็มรุกเจ้าพระยาเฉพาะหน้า และระยะยาวตามมติ กนช. คาดความเค็มสูงขึ้นหลังจากนี้จะมีอีก 2 ช่วง คือ 17-19 เม.ย. และ 28 เม.ย.- 3 พ.ค. นี้เล็งประชุมนัดแรก 8 เม.ย.นี้

วันที่ 5 เมษายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมด้วย นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน นายมนต์ชัย มโนสมุทร ผู้ตรวจราชการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ลงพื้นที่ติดตามแผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานครก่อนเข้าสู่ฤดูฝนปี 2564

ร่วมกับ นายณรงค์ เรืองศรี ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร ณ ห้องประชุมชีนิมิตร สำนักการระบายน้ำ เขตดินแดง เพื่อประชุมติดตามความพร้อมมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานครในช่วงฤดูฝนที่จะถึงนี้ ก่อนเดินทางต่อไปยังท่าเรือวาสุกรี สโมสรราชนาวี เพื่อลงเรือติดตามสถานการณ์น้ำแม่น้ำเจ้าพระยา จุดรอยต่อในการรับน้ำจากพื้นที่ตอนบน รวมถึงสถานการณ์ค่าความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา

จากนั้นคณะได้เดินทางต่อไปยัง กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ เพื่อหารือร่วมกับ พลเรือโท จักรกฤช มะลิขาว เจ้ากรมอุทกศาสตร์ ในเรื่องระบบติดตามระดับน้ำทะเล ระดับน้ำขึ้นลง พร้อมศึกษาข้อมูลอุทกศาสตร์ต่าง ๆ การคาดการณ์ระดับน้ำทะเล และการประเมินสถานการณ์การรุกล้ำของน้ำเค็ม เพื่อนำข้อมูลมาพิจารณากรอบแนวทางมาตรการและแผนการดำเนินงานเกี่ยวกับการรุกล้ำของน้ำเค็มบริเวณปากอ่าวแม่น้ำเจ้าพระยาในระยะยาว ตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.)

Advertisment

โดยที่ประชุม กนช. มีมติเห็นชอบแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยาและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งในลุ่มน้ำติดอ่าวไทย เพื่อร่วมศึกษา วิเคราะห์สถานการณ์ เสนอแนวทางมาตรการแก้ไขปัญหาระยะเร่งด่วนและระยะยาว จัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการ

อาทิ สทนช. กรมชลประทาน กรมเจ้าท่า กรุงเทพมหานคร กรมทรัพยากรน้ำ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงภาคประชาชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันการแก้ไขปัญหาการรุกตัวของน้ำเค็มในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ที่ส่งผลให้คุณภาพน้ำในแม่น้ำ 4 สายหลัก

ได้แก่ แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำบางปะกง ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ซึ่งจะมีการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ชุดดังกล่าวนัดแรกในวันที่ 8 เม.ย.นี้

เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เป็นการบูรณาการหลายหน่วยงานด้านน้ำ เพื่อหารือแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านน้ำทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝนที่จะถึงนี้ในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานคร

Advertisment

ซึ่งมีระบบป้องกันน้ำท่วมของตนเองและระบบคูคลองที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกับพื้นที่จังหวัดปริมณฑลเพื่อการระบายน้ำ และการจัดหาพื้นที่แก้มลิงรองรับน้ำฝนและเก็บกักน้ำไว้ใช้

โดยประสานการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมชลประทานและจังหวัดปริมณฑล ในการควบคุมปริมาณน้ำในพื้นที่ของกรุงเทพมหานครและปริมาณน้ำนอกพื้นที่ตอนบนกรุงเทพมหานคร เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทั้งสองพื้นที่

โดยเฉพาะจุดเสี่ยงท่วมซ้ำซากในเขต กทม.ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด ขณะที่การแก้ไขปัญหาน้ำเค็มเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา สำนักการระบายน้ำได้ร่วมมือกับกรมชลประทาน การประปานครหลวงและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ปฏิการผลักดันลิ่มน้ำเค็ม (Water Hammer Operation) ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพน้ำดิบสำหรับการผลิตน้ำประปาที่สถานีสูบน้ำสำแล จังหวัดปทุมธานี โดย กทม.ใช้สถานีสูบน้ำของอุโมงค์ระบายน้ำ และสถานีสูบน้ำในแนวริมแม่น้ำเจ้าพระยาในการสูบน้ำช่วยปฏิบัติการดังกล่าว

“หากช่วงใดมีค่าความเค็มเกินมาตรฐานและอาจส่งผลกระทบต่อการเกษตร หรือสัตว์น้ำในพื้นที่ จะใช้วิธีการควบคุม การปิดเปิดประตูระบายน้ำ ลดการนำน้ำที่มีความเค็มจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาไหลเวียน โดยจะใช้น้ำจากโรงบำบัดน้ำเสียของกรุงเทพมหานครที่ผ่านการบำบัดแล้ว รวมกับน้ำพื้นที่มาใช้เพื่อเจือจางความเค็มในช่วงเวลานั้น ๆ”

ซึ่งเป็นการดำเนินการในช่วงฤดูแล้ง โดยคาดว่าช่วงที่จะมีค่าความเค็มสูงขึ้นหลังจากนี้จะมีอีก 2 ช่วง คือ 17-19 เม.ย. และ 28 เม.ย.- 3 พ.ค.นี้

ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่แผนปฏิบัติการที่แต่ละหน่วยงานจะเร่งดำเนินการร่วมกันทั้งในระยะสั้นและระยะยาวที่จะบูรณาการการทำงานร่วมกันแล้ว สทนช. จะนำข้อมูลการศึกษาแนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในภาวะวิกฤต ทั้งปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง และคุณภาพน้ำ

ภายใต้โครงการนำร่องศึกษาวิเคราะห์ความเชื่อมโยงการบริหารจัดการน้ำกับระบบการประเมินด้านเศรษฐกิจและและพัฒนาระบบบัญชาการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในภาวะวิกฤต โดยพิจารณาครอบคลุมทั้ง 22 ลุ่มน้ำ

ทั้งมิติทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนนี้มาใช้ประกอบเป็นข้อมูลในการบริหารจัดการน้ำเชิงนโยบาย โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ ที่เป็นตัวชี้วัดบ่งชี้ภาวะน้ำแล้งแบบบูรณาการ เพื่อประกอบการกำหนดหลักเกณฑ์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำภายใต้ภาวะปกติและภาวะวิกฤต การใช้แบบจำลองเศรษฐกิจและอุทกวิทยา เป็นต้น

ซึ่งจะเป็นแนวทางในการเชื่อมโยงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ของทุกหน่วยงานที่จะทำงานร่วมกันทั้งในภาวะปกติ หรือภายใต้การบัญชาการของศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ เมื่อเกิดกรณีวิฤตด้านน้ำในพื้นที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นด้วย