9 วิธีรับมือ เมื่อลูกถูกแกล้งที่โรงเรียน

คอลัมน์ Education Ideas

 

การรังแก กลั่นแกล้งในโรงเรียน หรือการบูลลี่ ได้กลายเป็นปัญหาที่ไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป และมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้นในสังคมไทย จากสถิติของกรมสุขภาพจิต ชี้ว่า ในปี 2561 มีจำนวนนักเรียนไทยโดนกลั่นแกล้งในโรงเรียนสูงถึง 600,000 คน หรือคิดเป็นอัตราส่วน 40% มากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากญี่ปุ่น ปัจจุบันระดับความรุนแรงของพฤติกรรมการกลั่นแกล้งและปัญหาการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียนได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปี

“นพ.กมล แสงทองศรีกมล” ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาการเด็ก โรงพยาบาลกรุงเทพ ได้ฝากเคล็ดไม่ลับ 9 วิธีรับมือ เมื่อเด็ก ๆ ถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียน เพื่อให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูนำไปปรับใช้ เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลเด็ก ๆ ได้ต่อไป ดังนี้

หนึ่ง ทำความเข้าใจว่าการกลั่นแกล้งคืออะไร ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจปัญหาของผู้กระทำ และผู้ถูกกระทำมากขึ้น ในความเป็นจริงแล้วการกลั่นแกล้งคือ นิสัยที่เรียนรู้และเลียนแบบมาจากการเห็นหรือได้ยิน เช่น การทะเลาะกันในครอบครัว หรือพบเจอคนในชุมชนด่าทอกันด้วยคำพูดหยาบคาย จนมองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ผู้กระทำบางรายอาจเป็นบุคคลที่ขาดความมั่นใจ อิจฉาริษยาผู้อื่น หรืออาจจะเคยเป็นผู้ถูกกระทำมาก่อน

สอง กล้าที่จะพูดหรือแสดงความไม่พอใจต่อผู้กระทำ หลายครั้งที่ปัญหาการกลั่นแกล้งเกิดขึ้นกับบุคคลหนึ่งมาอย่างยาวนาน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ถูกกระทำไม่กล้าที่จะพูด หรือแสดงความไม่พอใจออกมา ทำให้ผู้กระทำไม่รับรู้ว่าผู้ถูกกระทำนั้นมีความรู้สึกอย่างไร จึงกลั่นแกล้งซ้ำ ๆ ซึ่งการแสดงออกหรือการพูดสื่อสารออกมาว่าผู้ถูกกระทำนั้นไม่พอใจ จะทำให้ผู้กระทำมีแนวโน้มที่จะกลั่นแกล้งลดน้อยลง หรือหยุดการกระทำนั้น ๆ ได้

สาม บอกเล่าการโดนกลั่นแกล้งกับพ่อแม่ ผู้ปกครองหรือครู ส่วนใหญ่แล้วปัญหาการกลั่นแกล้งในโรงเรียน เกิดจากการที่ผู้ถูกกระทำไม่ได้บอกเล่าเรื่องถูกกลั่นแกล้งให้พ่อแม่ ผู้ปกครองและครูทราบ จึงทำให้ปัญหาการกลั่นแกล้งยังคงเกิดขึ้น และไม่ได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ ต้องสอนเด็ก “ไม่ให้เงียบ”, “เพิกเฉย” หรือ “ทนต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น” และกล้าที่จะบอกเล่าปัญหาของตนกับพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือครูที่โรงเรียน เพราะปัญหาการถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียนต้องได้รับความร่วมมือจากทุกส่วน เพื่อหาวิธีการรับมือ และหาวิธีการแก้ไขปัญหานี้ร่วมกัน

สี่ การกลั่นแกล้งเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ในบางสถานการณ์การกลั่นแกล้งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย หากว่าผู้ถูกกระทำถูกกลั่นแกล้งทางร่างกายหรือทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำพูดด่าทอเชื้อชาติหรือเพศสภาพ ใช้กำลังและความรุนแรงรังแกผู้อื่น หรือแม้แต่การแชร์เรื่องส่วนตัวของผู้อื่นในอินเทอร์เน็ต ล้วนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น หากว่ามีการพบเจอการกลั่นแกล้งที่รุนแรงเช่นนี้ ผู้ปกครองและครูสามารถรายงานเรื่องนี้ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ห้า อย่ามองว่าตัวเองเป็นปัญหา การมีอัตลักษณ์ที่ต่างจากผู้อื่น เช่น เพศสภาพ เชื้อชาติ รูปร่างหน้าตา ไม่ใช่ปัญหาของผู้ถูกกระทำเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเพราะทัศนคติของผู้กระทำต่อผู้อื่นต่างหาก สิ่งสำคัญคือ เราต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองของตนเองก่อนเป็นอันดับแรก หากลูกของคุณเป็นผู้ถูกกระทำ จงสอนเขาว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด และมันไม่ใช่ปัญหาของเขาเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากตัวผู้กระทำ

หก มองหาวิธีจัดการกับความเครียด การกลั่นแกล้งนั้นสามารถสร้างความเครียดให้แก่ผู้ถูกกระทำเป็นอย่างมาก นอกจากการบอกเล่าปัญหาต่อผู้ที่ไว้ใจแล้ว ควรลองมองหากิจกรรมหรือสิ่งใหม่ ๆ เช่น การออกกำลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง หรือออกไปเที่ยว เพื่อจัดการกับความเครียดของตนเอง

เจ็ด อย่าแยกตัวออกมาอยู่คนเดียว เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาหรือทำให้เราจัดการกับการกลั่นแกล้งได้ อีกทั้งยังสามารถทำให้สถานการณ์แย่ลงไปเรื่อย ๆ ดังนั้นเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ผู้ปกครองและครู ที่จะคอยสอดส่อง ดูแลพฤติกรรม อารมณ์ของเด็ก ๆ ไม่ให้ตกอยู่ในภาวะเงียบหรือปลีกตัวมาอยู่คนเดียว

แปด ดูแลสุขภาพกายและใจของตนเองให้ดี การกลั่นแกล้งสามารถสร้างบาดแผลและปมในใจให้กับผู้ถูกกระทำ ซึ่งสามารถส่งผลต่อสภาพร่างกาย เช่น การอดอาหาร เครียดจนนอนไม่หลับ หากบุตรหลานของท่านได้รับการกลั่นแกล้งที่กระทบต่อสภาพร่างกายและจิตใจ ควรพาไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและจิตวิทยา เพื่อช่วยให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาได้อย่างดีและตรงจุด

และเก้า มองหาบุคคลต้นแบบที่ดีการกลั่นแกล้ง ทำให้ผู้ถูกกระทำสับสนและไม่ชอบในตัวเอง หากว่าผู้ถูกกระทำมีบุคคลต้นแบบที่ดี จะทำให้เห็นว่ามีอีกหลายคนที่เคยพบเจอกับปัญหาเดียวกัน แต่พวกเขาก็สามารถก้าวข้ามการโดนกลั่นแกล้ง จนสามารถประสบความสำเร็จได้ การมีบุคคลต้นแบบที่ดีนั้นจะทำให้ผู้ถูกกระทำ มองเห็นคุณค่าของตัวเองและรักตัวเองมากขึ้น