เอ.พี. ฮอนด้า โหมบุกตลาดสปอร์ตเต็มสูบ-

สัมภาษณ์

ค่าย เอ.พี. ฮอนด้า ผู้นำตลาดสองล้อบ้านเรา เพิ่งฉลองความสำเร็จหลังจากผลักดันรถจักรยานยนต์กลุ่มรถสปอร์ตจนสามารถบรรลุยอดขายมากกว่า 1,500,000 คัน และเร็ว ๆ นี้กำลังจะส่งน้องใหม่ในกลุ่มสปอร์ต ในคอนเซ็ปต์ “Exmotion” เข้ามากระทุ้งตลาดอีกระลอก เกมการรุกตลาดของ เอ.พี. ฮอนด้า จะน่ากลัวแค่ไหน ไปฟังจากปาก “สุชาติ อรุณแสงโรจน์” รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด หัวเรือใหญ่ที่คร่ำหวอดกับตลาดรถจักรยานยนต์มากกว่า 30 ปี

Q : โปรดักต์ใหม่ปีนี้

เราเป็นผู้นำตลาด แต่ก็ไม่อาจจะหยุดพัฒนาได้ จึงให้ความสำคัญและมุ่งเน้นที่จะรักษาความเป็นที่หนึ่ง ด้วยการก้าวนำและเปลี่ยนแปลงเพื่อพลิกโฉมวงการรถจักรยานยนต์ไทยให้ทันสมัยอยู่เสมอ เร็ว ๆ นี้ก็จะมีการรีเฟรชผลิตภัณฑ์ให้ดีไซน์สดใหม่ และนำเข้าผลิตภัณฑ์

ระดับท็อปคลาสหลากหลายแนว ตลอดจนพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมูลค่าใหม่ ให้ผู้ขับขี่ได้ต่อยอดประสบการณ์การขับขี่ที่ท้าทายขึ้น ตลอดจนนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีในรถยนต์ หรือรถบิ๊กไบก์ มาสู่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า ซึ่งภายในปีนี้จะมีรถรุ่นใหม่ 3 รุ่น ออกมาสู่ในตลาดอย่างแน่นอน คือ รถในกลุ่มรถครอบครัว รถพรีเมี่ยม เอที และรถประเภทสปอร์ตรุ่นใหม่ ตระกูล 150 ซีซี ที่จะมาสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการมอเตอร์ไซค์ในประเทศไทยอีกครั้ง ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เราเริ่มยิงทีเซอร์ Exmotion พร้อมเปิดจองออนไลน์ โดยลูกค้าจองก่อน 30 กันยายนนี้ มีโปรโมชั่น 3,000 ท่านแรก รับแว่น Oakley ราคา 5,000 บาท ไม่น่าเชื่อได้การตอบรับจากลูกค้าดีมาก มียอดจองช่วงเสาร์-อาทิตย์มากถึง 500 คัน ทั้ง ๆ ที่ลูกค้ายังไม่เห็นรถและยังไม่ทราบราคา ซึ่งรายละเอียดของตัว Exmotion จะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้

Q : กลุ่มไหนที่กำลังมาแรง

ถ้าแรงมากตอนนี้ก็ต้องเป็นสปอร์ต พฤติกรรมการเลือกซื้อรถจักรยานยนต์ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เปลี่ยนไปเยอะมาก โดยกลุ่มรถสปอร์ตกลับมาได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างชัดเจน ย้อนหลังไป 5 ปี มีสัดส่วนเพียง 3% แต่ปัจจุบันสูงถึง 17% และมั่นใจว่ากลุ่มนี้จะสูงขึ้นอีกในปี 2561 ส่วนตลาดครอบครัวยังเป็นตลาดใหญ่ มีสัดส่วน 48.3% ขณะที่ตลาดสกูตเตอร์ หรือเอที มีแนวโน้มลดลง ปัจจุบันมีสัดส่วน 34.6%

Q : เทคโนโลยีมีอะไรใหม่

ฮอนด้าถือเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี เราเป็นเจ้าแรกที่เปลี่ยนจาก 2 จังหวะ มาเป็น 4 จังหวะ เครื่องยนต์ใช้หัวฉีดเพื่อความแม่นยำในการจ่ายเชื้อเพลิงและประหยัด พัฒนาต่อเนื่องกันมาจนเดี๋ยวนี้น้ำมัน 1 ลิตร สามารถวิ่งได้ถึง 64.4 กม. ล่าสุดก็เพิ่งมีเครื่องยนต์ใหม่ EPS ซึ่งมีคุณสมบัติเผาไหม้หมดจด รักษ์โลก ระบบเบรกตอนนี้ก็เป็นซีบีเอส ซึ่งเบรกข้างเดียวควบคุมให้ทั้งหน้าและหลัง และก็มีไอเดลริ่งสต็อป ที่เวลาเหยียบเบรก เครื่องยนต์หยุดทำงาน และเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อออกตัวช่วยเรื่องประหยัดได้มาก ทั้งหมดนี้เรียกว่าสมาร์ทเทคโนโลยี ซึ่ง เอ.พี. ฮอนด้าจะมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาเสริมอย่างต่อเนื่อง

Q : มองตลาดปีนี้

สภาพตลาดรถจักรยานยนต์ทั่วประเทศในปี 2560 ครึ่งปีแรก (ม.ค.- ก.ค.) มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมียอดขาย 1,084,995 คัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ประมาณ 4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ ซึ่งรถจักรยานยนต์ฮอนด้ามียอดจดทะเบียนถึง 850,955 คัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามสภาพตลาดอยู่ที่ 4% ทำให้มีส่วนแบ่งตลาดครึ่งปีแรกอยู่ที่ 78% ครองความเป็นผู้นำตลาดเป็นปีที่ 29 ติดต่อกัน โดยฮอนด้าได้คาดการณ์ถึงตลาดรถจักรยานยนต์จะกลับมาคึกคักเป็นผลจากสภาพเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ราคาพืชผลทางการเกษตรปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้คาดการณ์ตัวเลขยอดจดทะเบียนของตลาดรถจักรยานยนต์ไทย เมื่อจบปีจะอยู่ที่ 1.85 ล้านคัน ซึ่งฮอนด้าจะทำได้ 1.46 ล้านคัน

Q : ความสำเร็จปีนี้

ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา รวมทั้งสิ้น 8 รุ่น แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์รถรุ่นใหม่ 3 รุ่น ได้แก่ Honda Rebel 300 ที่ถือเป็นนิวโมเดลของฮอนด้า และผลิตภัณฑ์ใหม่อีกสองรุ่นที่ได้มีการปรับปรุงเพิ่มเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามา นั่นคือ New MSX 125SF ABS และ All New Scoopy i นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 5 รุ่นก็ได้มีการปรับโฉม เพื่อให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภค ได้แก่ New Wave 110i, New MOOVE, New MSX125SF, CBR150R และล่าสุด New Zoomer-X ในขณะที่ตลาดรถกลุ่มบิ๊กไบก์ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-ก.ค.) ตลาดรถบิ๊กไบก์มียอดขายอยู่ที่ 17,098 คัน แบ่งเป็น ฮอนด้าบิ๊กไบก์อยู่ที่ 7,234 คัน มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 42% โดยเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ฮอนด้าได้มีการประกาศตัวเลขคาดการณ์ของตลาดรถบิ๊กไบก์จะอยู่ที่ประมาณ 27,000 คัน เป็นฮอนด้าอยู่ที่ 10,500 คัน แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่กลับมาฟื้นตัว และกระแสความนิยมของรถบิ๊กไบก์ที่มีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับฮอนด้าเองได้มีการแก้ไขปัญหาการส่งมอบรถให้ได้ทันตามความต้องการของ ผู้บริโภค ฮอนด้าจึงได้มีการปรับตัวเลขคาดการณ์อยู่ที่ 11,600 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 43%