แรงส่ง ศก.หุ้นทะยานข้ามปี โรดแมปชัดเงินนอกทะลัก-

รองนายกฯสมคิดมั่นใจเศรษฐกิจสดใส สัญญาณบวกด้านเศรษฐกิจ-การเมือง ดันหุ้นไทยวิ่งแรงต่อเนื่องข้ามปี ฟันด์โฟลว์ทะลัก หนุนดัชนีปีนี้บวก 169.54 จุด มาร์เก็ตแคปเฉียด 17 ล้านล้านบาท แซงมูลค่าจีดีพีประเทศ โบรกฯลุ้นต้นปีཹ ทะลุ 1,753 จุด ทุบสถิติประวัติศาสตร์ก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง หลังกรอบเลือกตั้งชัดเจน บวกกำลังซื้อในประเทศฟื้น พ่วงเม็ดเงินลงทุนอีอีซี

มาร์เก็ตแคปเฉียด 17 ล้าน ล.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท่ามกลางอุณหภูมิของตลาดหุ้นไทยที่กำลังร้อนแรง หลังถูกแรงกระตุ้นจากปัจจัยบวกภายในประเทศ ทั้งความผ่อนคลายทางการเมืองและความชัดเจนของช่วงเวลาเลือกตั้ง และภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว จนทำให้ดัชนีปรับขึ้นไปยืนเหนือระดับ 1,700 จุด ในเวลาอันรวดเร็ว และส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยสามารถให้ผลตอบแทนเฉลี่ยแล้วราว 11% นับจากสิ้นปี 2559

ทั้งนี้ จากต้นปีดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 1,542.94 จุด และได้วิ่งทะลุแนวต้านใหญ่ 1,600 จุด ไปเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 60 โดยปิดตลาดที่ 1,614.14 จุด มูลค่าการซื้อขายสูง 95,652.53 ล้านบาท หลังจากนั้น ตลาดหุ้นทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วในเดือนกันยายน จนเข้าสู่ภาวะตลาดหุ้นกระทิง และร้อนแรงต่อเนื่อง ดัชนีทะลุแนวต้านใหญ่ 1,700 จุด ไปได้อีกเมื่อวันที่ 10 ต.ค. ดัชนีปิดที่ระดับ 1,706.95 จุด รับกระแสข่าวนายกฯประกาศเลือกตั้ง ในปลายปี 2561 ทำให้มีแรงซื้อขายเข้ามาระลอกใหญ่ ด้วยวอลุ่ม 81,464.26 ล้านบาท ถือเป็นการทำสถิติในรอบ 24 ปี โดยล่าสุด 12 ต.ค. ดัชนีปิดที่ระดับ 1,712.48 จุด ทำให้มูลค่าราคาตลาดโดยรวม (มาร์เก็ตแคป) อยู่ที่ 16.94 ล้านล้านบาท โดยพบว่าตั้งแต่สิ้นเดือน ก.ย.ถึง 12 ต.ค. 60 มาร์เก็ตแคปตลาดเพิ่มขึ้นถึง 9.17 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังขึ้นแซงมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ซึ่งทางสภาพัฒน์คาดการณ์ว่า สิ้นปี 2560 จะมีมูลค่าอยู่ที่ 15.19 ล้านล้านบาท

“สมคิด”ชี้ศก.ใส-หุ้นทะยานต่อ

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ กล่าวถึงปัจจัยความเชื่อมั่นและนโยบายรัฐบาลที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังและปีหน้าว่า ขณะนี้เศรษฐกิจมหภาคในประเทศดีที่สุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา เพราะเชื่อมั่นว่าการปรับอันดับความยากง่ายในการทำธุรกิจ หรือ Doing Business ของธนาคารโลก ช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ จะขยับอันดับดีขึ้นและจะส่งผลต่อเศรษฐกิจให้ดีขึ้นแน่นอน

“การแก้ปัญหาคนจน บัตรสวัสดิการ ธงฟ้าประชารัฐ นโยบายที่ตอบสนองตรงกลุ่มเป้าหมาย ครอบคลุมทุกพื้นที่ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่องได้ ดัชนีหุ้นพุ่งต่ออีก 2 เดือน” นายสมคิดกล่าวและว่า

ขณะที่ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ไตรมาส 3 เชื่อว่าดีขึ้น ขณะที่ไตรมาส 4 ดัชนีทุกตัวค่อนข้างแข็งแรง เพราะฉะนั้น ไตรมาส 4 เชื่อว่าจะสามารถรักษาโมเมนตัมได้ดีมาก เป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจในปีหน้าขยายตัวขึ้น

แรงส่งกำไร บจ.ไตรมาส 3

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยจะเริ่มเข้าสู่ช่วงการประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 3/2560 ของ บจ. ซึ่งจากการประเมินภาพรวมคาดว่าจะเห็นการเติบของกำไรสุทธิ เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 2.14 แสนล้านบาท และงวดไตรมาส 2/2560 ที่ทำได้ 2.22 แสนล้านบาท

สาเหตุสำคัญเป็นผลมาจากกำไรของกลุ่มหลัก ๆ ที่ค่อนข้างเติบโตได้ดี โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน ที่คาดว่าจะไม่มีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ไม่มีการตั้งสำรองหนี้สูง ๆ เหมือนช่วงไตรมาสก่อนหน้า ส่วนกลุ่มอื่น ๆ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิเติบโตอย่างโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มเกษตร-อาหาร, รับเหมาก่อสร้าง, ขนส่ง, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และค้าปลีก เป็นต้น

แม้ตลาดจะยังมีแรงสนับสนุนต่อเนื่องจากปัจจัยเรื่องผลประกอบการ บจ. แต่น่าจะเร็วเกินไป หากจะลุ้นให้ดัชนีปรับตัวขึ้นไปทะลุระดับสูงสุดเดิม (1,753.73 จุด) ได้ เนื่องจากเชื่อว่าระยะสั้น ดัชนีหุ้นไทยน่าจะเข้าสู่โหมดปรับฐานก่อน เพราะที่ผ่านมา ดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นแรงและเร็วไปแล้ว ทำให้ตลาดหุ้นไทยไม่ได้แล็กการ์ด (laggard) อีกต่อไป และหากพิจารณาอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) พบว่า ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 16.84 เท่า ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับตลาดหุ้นโลก ทั้งตลาดประเทศพัฒนาแล้ว และตลาดประเทศกำลังพัฒนา

จับตาปีหน้าฟันด์โฟลว์ทะลัก

นักวิเคราะห์เอเซีย พลัสระบุว่า โอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะทำสถิติสูงสุดใหม่ มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในปีหน้า โดย บล.เอเซีย พลัส ให้เป้าหมายดัชนีปี 2561 ที่ระดับ 1,766 จุด โดยคาดว่าทิศทางฟันด์โฟลว์ต่างชาติจะไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติมียอดสะสมหุ้นไทยเหลือเพียง 1 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำ จากที่เคยสะสมระดับ 3-4 แสนล้านบาท มองว่ายังมีโอกาสที่ฟันด์โฟลว์ต่างชาติจะไหลเข้ามาเพิ่มจากนี้ อีกประมาณ 1 แสนล้านบาท ซึ่งอาจช่วยผลักดันให้ P/E ตลาดไปเทรดกันที่ระดับ 17-18 เท่า ซึ่งหมายถึงดัชนีมีแนวโน้มขึ้นไปสูงถึงระดับ 1,876-1,987 จุด

นายกรภัทร วรเชษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน ประเมินว่า กำไรสุทธิรวมของ บจ. งวดไตรมาส 3/2560 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 2.4 แสนล้านบาท เติบโต 10% จากไตรมาสก่อนหน้า และเติบโตกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินงานของหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ถ่านหิน และส่วนต่างค่าการกลั่นที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะหนุนให้กำไรของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีสดใสมากขึ้น ขณะที่กลุ่มแบงก์และกลุ่มอุปโภคบริโภคก็มีสัญญาณฟื้นตัวดีเช่นกัน

ขณะที่แนวโน้มกำไร บจ. ในช่วงไตรมาส 4/2560 คาดว่าจะเติบโตต่อ เนื่องจากประเมินว่ากำลังซื้อน่าจะกลับมาคึกคัก ประกอบกับทิศทางโดยรวมของเศรษฐกิจในประเทศที่ดูดีขึ้นก็น่าจะเป็นแรงกระตุ้นที่สำคัญ โดยคาดว่ากำไร บจ.ทั้งปีจะแตะระดับ 1 ล้านล้านบาท หรือเติบโตราว 7%

ลุ้นดัชนีทุบสถิติ ปี 2537

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนายการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 4 จะเป็นช่วงของการเก็งงบการเงิน บจ. และแรงหนุนจากการซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แต่ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้ซึมซับปัจจัยบวกไปค่อนข้างมากแล้ว ซึ่งแรงเก็งกำไรในช่วงปลายปีนี้น่าจะแค่ช่วยพยุงไม่ให้ดัชนีปรับตัวลดลงต่ำไปกว่านี้ เพราะช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. ก็เป็นช่วงโลว์ซีซั่นการซื้อขายของต่างชาติ เพื่อเตรียมหยุดยาวช่วงปลายปี

“โอกาสที่ดัชนีจะขยับขึ้นทำลายสถิติ หรือ All Time High ของหุ้นไทยที่ 1,753 จุด เมื่อปี 2537 ภายในปีนี้ ยังเป็นไปได้ยาก มองว่าโอกาสทำสถิติดัชนีหุ้นไทยครั้งใหม่อาจเกิดขึ้นในช่วงต้นปีหน้า เบื้องต้นฝ่ายวิจัยให้ดัชนีเป้าหมายปีหน้าไว้ที่ระดับ 1,760 จุด โดยจับตาเป็นพิเศษในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. 2561 ที่จะมีการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญเข้ามาหนุนความเชื่อมั่น รวมไปถึงแรงส่งจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้”

นายประกิตกล่าวว่า สำหรับภาพรวมผลประกอบการ บจ.ปีนี้ คาดว่าจะมีกำไรสุทธิรวม 9.9 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 9 แสนล้านบาท โดยกลุ่มหุ้นที่มีแนวโน้มขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยขยับทำ All Time High ประกอบไปด้วย กลุ่มการเงิน กลุ่มค้าปลีก กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มยานยนต์ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ต้องบอกว่าลุ้นได้ตลอดเวลา เนื่องจากตลาดเริ่มกลับมาพีก หลังจากที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างชะลอตัว ซึ่งยังคงต้องจับตาการเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งสถิติตั้งแต่ต้นปีถึง 12 ต.ค. 2560 ต่างชาติซื้อสุทธิ 1.6 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 471 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังถือว่าน้อยกว่าที่เข้าในตลาดเพื่อนบ้านอย่าง ฟิลิปปินส์ สูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงมีโอกาสที่ฟันด์โฟลว์ต่างชาติจะเข้าไทยเพิ่ม

รับอานิสงส์ลงทุนอีอีซี

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือจุดสูงสุดในปี 2537 ที่ 1,789.16 จุดได้ หากรัฐบาลสามารถดำเนินการโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และสามารถดึงนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาตั้งโรงงานผลิตได้จริง และมีการผลักดันการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานได้ตามนโยบายของภาครัฐ ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเข้ามาเป็นจำนวนมากและเกิดการสร้างงาน รวมถึงการบริโภคที่ฟื้นตัว ประกอบกับปีหน้าการจับจ่ายที่อั้นอยู่จะเริ่มทยอยออกมามากขึ้น ต่อให้ยังไม่มีการเลือกตั้งก็ตาม

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บล.เคทีบีประเมินดัชนีหุ้นไทยในปีนี้ มีโอกาสปรับตัวสูงอยู่ในกรอบ 1,740-1,750 จุด จากปัจจัยบวกการเมือง และเศรษฐกิจในประเทศมีเสถียรภาพ แต่โอกาสที่จะขยับสูงไปมากกว่านี้ยังน้อย เพราะเริ่มเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่นของนักลงทุนต่างชาติ ที่จะถอนการลงทุนกลับในเดือน ธ.ค.นี้ และจะกลับมาเริ่มการลงทุนอีกครั้งในเดือน ก.พ.-มี.ค. 2561

ตลาดหุ้นไทยที่ขยับมาสูงในปัจจุบันเกิดจากความเชื่อมั่นของผลประกอบการ บจ.ในงวดไตรมาส 3/60 ที่คาดว่าจะออกมาเป็นบวกดีกว่าปีก่อน สอดคล้องกับเศรษฐกิจประเทศที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้ ตัวแปรด้านการเมืองเป็นส่วนสำคัญ ทำให้โอกาสดัชนีหุ้นไทยจะขยับสูงทำ new high อยู่ในช่วงต้นปีหน้า โดยเฉพาะช่วงการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้นในเดือน ก.พ. 2561 ทั้งปัจจัยหนุนจากที่ต่างชาติจะเริ่มเข้ามาลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี)

วีไอตัวพ่อชี้มีโอกาสไปต่อ

นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนหุ้นคุณค่า หรือ VI (value investor) กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยที่ขยับฐานมาอยู่ 1,700 จุดขณะนี้ ส่วนตัวมองว่าเป็นภาวะตลาดแพง โอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยจะขยับขึ้นสูงกว่านี้ก็มีความเป็นไปได้ในระยะสั้น จากแรงซื้อที่ลากให้ดัชนีขยับขึ้นไปอีก เพราะครั้งนี้ถือว่าเป็นการปรับตัวรอบใหญ่ของหุ้นไทย แต่การที่จะปรับขึ้นสูง และให้ยืนอยู่ในระยะยาวนั้น จำเป็นต้องมีพื้นฐานรองรับ ซึ่งถ้าดูปัจจัยพื้นฐานของไทยขณะนี้ถือว่ายังไม่รองรับ เพราะเมื่อเทียบอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ และอัตราราคากำไรต่อหุ้น (P/E) ซึ่งอยู่ที่ 17-18 เท่า ถือว่าแพง

“เมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้กลับมาซื้อหุ้นไทยเพิ่ม โดยปรับพอร์ตหลังจาก 2 ปีที่ผ่าน ถือเงินสดในสัดส่วน 30% ขณะนี้ถือเงินสดเพียง 10% โดยได้กลับมาซื้อหุ้นไทย โดยเลือกหุ้นขนาดกลาง ไม่ใช่หุ้นใหญ่ เป็นหุ้นตัวรอง มีปันผล แต่ธุรกิจแข็งแกร่งแข่งขันได้ นาทีนี้ยังพอมีโอกาสสำหรับการลงทุน แต่จะต้องระมัดระวังอย่างมาก ต้องเลือกหุ้นตัวที่ปลอดภัยสูง” นายนิเวศน์กล่าว