
อาฮุย แผ่นดินใหญ่ : เรื่อง
ลูอิส แฮมิลตัน กลายเป็นนักแข่งรถเอฟวันที่มาแรงที่สุดในช่วง 5 ปีมานี้ จากการคว้าแชมป์เมื่อปี 2014 และ 2015 ขณะที่ปี 2017 แฮมิลตันก็ลุ้นแชมป์เต็มตัวเช่นกันหลังผ่านมา 17 สนาม นักแข่งรถจากแดนผู้ดีต้องการจบใน 5 อันดับแรกในสนามเม็กซิโก กรังด์ปรีซ์ เพื่อชูแชมป์โลกสมัยที่ 4 ของตัวเอง แต่อะไรเป็นจุดเปลี่ยนทำให้แฮมิลตันกลับมาทำผลงานได้อีกครั้ง
สำหรับวงการกีฬาในสหราชอาณาจักร ลูอิส แฮมิลตัน เป็นนักกีฬาชาวอังกฤษเพียงคนเดียวที่ติดในลิสต์รายชื่อบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดจากนิตยสารฟอร์บสในครั้งล่าสุด โดยแฮมิลตันติดอันดับ 11 รายได้รวม 32 ล้านปอนด์ แม้อาจไม่ติด 10 อันดับแรก แต่ถือเป็นนักกีฬาแข่งรถอันดับต้นของโลกทั้งแง่ผลงานในสนามและเรื่องรายได้ โดยที่ตามติดมาเป็นเซบาสเตียน เว็ตเทล นักแข่งชาวเยอรมัน ในอันดับ 14 ด้วยรายได้ 28.9 ล้านปอนด์
ก่อนหน้าสนามที่เม็กซิโก ผลงานในสนามของแฮมิลตันในปีนี้ ได้แชมป์ 9 สนาม จาก 17 สนามที่ลงแข่ง และนับตั้งแต่หน้าร้อน แฮมิลตันกวาดแชมป์ 5 สนามจาก 6 สนาม อีกสนามจบด้วยอันดับ 2 ขณะที่สถิติรวมในกลุ่มแชมป์สนาม แฮมิลตันยังเป็นนักขับเอฟวันชาวอังกฤษที่ได้แชมป์สนามมากที่สุดถึง 62 สนาม ทิ้งห่างไนเจล มานเซลล์ ซึ่งได้แชมป์สนาม 31 รายการอยู่ 1 เท่าตัว
อะไรที่ทำให้แฮมิลตันกลายมาเป็นเจ้าเอฟวันที่แม้แต่บอสใหญ่ของเมอร์เซเดสฯต้นสังกัดยังเชื่อว่ายุคนี้คือช่วงเวลาพีกที่สุดของแฮมิลตัน หลังปล่อยให้รุ่นน้องอย่างเว็ตเทลผงาดอยู่ 4 ปีรวด ตั้งแต่ 2010-2013 ขณะที่เวลานี้เว็ตเทลกับเฟอร์รารี่ ดูเหมือนมีปัญหาเทคนิคจนพลาดเสียศูนย์หลังเครื่องยนต์ทำพิษที่สนามมาเลเซีย และญี่ปุ่น ยิ่งส่งให้แฮมิลตันมีโอกาสการันตีแชมป์ก่อนสนามสุดท้ายที่อาบูดาบีเสียอีก
ฤดูกาล 2017 เป็นฤดูกาลที่เหนือกว่าปี 2015 ซึ่ง 12 สนามแรกประเดิมด้วยแชมป์ของแฮมิลตันไป 11 สนามด้วยซ้ำในความคิดของโตโต วอล์ฟฟ์ บอสของเมอร์เซเดสฯ เช่นเดียวกับแฮมิลตัน ทั้งโตโต และนักขับจากแดนผู้ดีต่างมองว่าผลงานในปีนี้ที่พวกเขาสามารถคุมเกมได้ทั้งหมดคือการยกระดับฟอร์มของแฮมิลตันไปอีกขั้น
บทความของแอนดรูว์ เบนสัน ผู้ดูแลเนื้อหาส่วนเอฟวันของบีบีซีอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของวอล์ฟฟ์ ซึ่งเล่าว่า จุดเปลี่ยนอยู่ที่บทสนทนายาวเหยียดในห้องครัวหลังจบสนามสุดท้ายของปี 2016 ซึ่งแฮมิลตันได้แชมป์สนาม ขณะที่ นิโก รอสเบิร์ก เพื่อนร่วมทีมเข้าอันดับ 2 แต่ยังดีพอให้คว้าแชมป์โลกได้
การแข่งสนามสุดท้ายของปี 2016 ที่อาบูดาบี เป็นเหตุความขัดแย้งในสนามครั้งสุดท้ายระหว่างเพื่อนและคู่ปรับอย่างรอสเบิร์ก กับแฮมิลตัน โดยปัญหาอยู่ตรงที่แฮมิลตันจงใจฝ่าฝืนคำสั่งทีมที่ห้ามเล่นเกมแท็กติกที่จะดึงโอกาสคว้าแชมป์ของรอสเบิร์กให้ยืดออกไป
ในช่วงท้าย แฮมิลตันที่นำมาตลอดกลับขับช้าลงเรื่อย ๆ เพื่อหวังให้นักขับคู่แข่งอื่นไล่ขึ้นมาเบียดตำแหน่งรอสเบิร์กให้หล่นไปอยู่ต่ำกว่าอันดับ 3 เพื่อตัดโอกาสคว้าแชมป์โลกของรอสเบิร์ก อย่างไรก็ตาม รอสเบิร์กยังสามารถรักษาอันดับ 2 ได้ขึ้นโพเดี้ยมซึ่งเพียงพอต่อการคว้าแชมป์โลก และทั้งคู่ก็จับมือกันบนโพเดี้ยม แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันรอสเบิร์กประกาศอำลาวงการรถแข่ง
ภายหลังจบอาบูดาบี กรังด์ปรีซ์ 2016 ทั้งคู่ปิดห้องถกปัญหาคาใจทั้งหมด และออกมาด้วยคำตอบโปร่งโล่งพร้อมทัศนคติที่เป็นบวก ทีมสปิริตดีขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างแฮมิลตัน กับ วัลท์เทอรี บอตทาส อีกหนึ่งนักขับเมอร์เซเดสฯเป็นส่วนหนึ่งที่ให้ทีมทำผลงานได้ดี
หลายฝ่ายยอมรับว่าที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่าง รอสเบิร์ก กับแฮมิลตัน คือสิ่งที่ส่งผลต่อศักยภาพในการแข่งขันของแฮมิลตัน เมื่อนักขับไม่สามารถทำงานกับทีมได้แบบเต็มที่ รอสเบิร์กก็สามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้ให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง ส่วนแฮมิลตันก็ถูกกดจนไม่สามารถเค้นความสามารถตามเพดานสูงสุดออกมาได้
แน่นอนว่า การเคลียร์ปัญหาจนนำไปสู่การประสานงานกันในทีมคือปัจจัยเอื้อหนุนให้แฮมิลตันสามารถเค้นศักยภาพสูงสุดของตัวเองออกมาอย่างสม่ำเสมอ สามารถบังคับรถที่เร็วขั้นสุดแต่ควบคุมยากได้มากขึ้น ดึงศักยภาพของเครื่องยนต์ออกมาให้มากที่สุด
นอกเหนือจากผลงานที่ดีในช่วงครึ่งปีหลัง อีกหนึ่งปัจจัยที่น่าสนใจคือความผิดพลาดของเฟอร์รารี่ที่มีปัญหาเครื่องยนต์ใน 3 สนามของทวีปเอเชีย เรื่องไม่คาดฝันเพียงเล็กน้อยสามารถเป็นจุดชี้ชะตาได้จากที่ทั้งสองฝ่ายมีรถที่มีศักยภาพสูสีจนแทบเถียงไม่ตกว่าใครมีเครื่องยนต์ดีกว่าใคร
ความสำเร็จของแฮมิลตันที่ถูกระเบิดออกมาในช่วงปีที่ผ่านมา มีที่มาจากจุดเปลี่ยนด้วยการพูดคุยกับหัวหน้าทีม แต่แน่นอนว่า “การพูดคุย” ที่พูดกันแบบสบายปากสำหรับคนนอก ต้องเป็นเรื่องหนักหน่วงและซีเรียสสำหรับคนใน ความเข้มข้นของการเคลียร์กันเป็นที่คาดเดาได้ แต่ถ้าเรื่องเล็กที่ทำยากสามารถแก้ปมปัญหาที่ฝังรากได้ ไม่ว่าเป็นเรื่องเล็กเกี่ยวกับอะไรก็ตามคงคุ้มค่าต่อการลองทำเพื่อขจัดปัญหาใหญ่ที่จะตามมา