กรุงไทยปรับจีดีพีปีนี้โต 3.2% เม็ดเงินคนละครึ่ง 3.8 หมื่นล้านหนุนเศรษฐกิจ 0.2%

กรุงไทย

ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ปรับประมาณการจีดีพีปีนี้โต 3.2% จากเดิมอยู่ที่ 3.0% และปี 66 อยู่ที่ 4.2% อานิสงส์ภาคการท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัว ดันตัวเลขนักท่องเที่ยวปีหน้าแตะ 21.3 ล้านคน เผยมาตรการคนละครึ่งมีเม็ดเงินสะพัด 3.8 หมื่นล้านบาท หนุนจีดีพี 0.2% ชี้จับตา เงินเฟ้อ-ต้นทุน-เศรษฐกิจโลกชะลอตัวปัจจัยเสี่ยง

วันที่ 16 สิงหาคม 2565 ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า Krungthai COMPASS ได้ปรับประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้มาอยู่ที่ระดับ 3.2% จากเดิมอยู่ที่ 3% และขยายตัวต่อเนื่องในปี 2566 อยู่ที่ 4.2% ซึ่งปัจจัยหนุนการเติบโตมาจากภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชน เป็นหลัก ขณะที่การส่งออกชะลอตามเศรษฐกิจโลก

โดยได้ปรับจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มเป็น 8.1 ล้านคน จากคาดการณ์เดิมอยู่ที่ 7.2 ล้านคน และเพิ่มเป็น 21.3 ล้านคนในปี 2566 และคาดว่าภายในปี 2568 การท่องเที่ยวจะฟื้นตัวเข้าสู่ระดับปกติก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะที่ภาคการส่งออกในปีนี้จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.5% จาก 6.5% และในปี 2566 จะเติบโตลดลงเหลือ 2.5%

สำหรับภาคการบริโภคเอกชนจะขยายตัวได้ดีขึ้นจากอานิสงส์มาตรการภาครัฐ และสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลาย ส่งผลให้ประชาชนเริ่มมีการใช้จ่าย โดยมาตรการคนละครึ่งที่จะมียอดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ 3.8 หมื่นล้านบาท จะช่วยหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจประมาณ 0.2% ทำให้การบริโภคภาคครัวเรือนปีนี้ขยายตัวได้ 4.6% ก่อนจะชะลอตัวลงเหลือ 4% ภายในปี 2566 เนื่องจากมาตรการภาครัฐทยอยหมดลง

“เรามองจีดีพีปีนี้มีสัญญาณเป็นบวกมากขึ้น จึงมีการทบทวนจีดีพีเป็น 3.2% จาก 3.0% โดยมองเรื่องการลงทุนไปได้ 3.8-4% ส่วนเรื่องการบริโภคจะมีแรงหนุนจากมาตรการรัฐและท่องเที่ยวเข้ามาเสริม ซึ่งโอกาสที่จีดีพีจะ Up side มากกว่า 3.2% ได้ หากนักท่องเที่ยวมาเกิน 8-10 ล้านคน”

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 6.1% ก่อนจะชะลอตัวลงสู่ระดับ 2.0% ในปีหน้าจากการคลี่คลายของภาวะชะงักงันด้านอุปทาน รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ช่วยลดแรงกดดันต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนั้น คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป สู่ระดับ 1.25% ในสิ้นปี 2565 และ 2.00% ในสิ้นปี 2566

ส่วนเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว สถานการณ์เงินเฟ้อโลกยังไม่คลี่คลาย ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อจนแตะระดับ 3.3% ปลายปีนี้ คาดว่าการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดจะสามารถนำไปสู่ Soft Landing ได้

“เศรษฐกิจไทยกำลังเป็น “The New K-shaped Economy” โดยปัจจัยเสี่ยงใหม่จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากภาวะเงินเฟ้อและต้นทุนสูง ทำให้ธุรกิจที่เติบโตได้ดีในช่วงที่ผ่านมา อย่างธุรกิจส่งออกเผชิญความท้าทายมากขึ้น อย่างไรก็ดี หลายภาคส่วนได้รับอานิสงส์ของภาพรวมที่ดีขึ้นไม่มากนัก ทำให้ยังมีความจำเป็นต้องใช้นโยบายเศรษฐกิจช่วยประคับประคองต่อไป”

ดร.ฉมาดนัย มากนวล ผู้อำนวยการฝ่าย Business Risk and Macro Research ธนาคารกรุงไทย ประเมินว่า ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว จะทำให้การส่งออกในระยะข้างหน้าแผ่วลง เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกที่ขยายตัวได้สูงถึง 12.7% โดยในระยะข้างหน้าจะต้องจับตาการทบทวนการตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐต่อจีน ซึ่งสหรัฐอาจจะปรับลดหรือยกเลิกภาษีสินค้าบางรายการในกลุ่มสินค้าขั้นกลาง

เช่น พลาสติกและเคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง และสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น เฟอร์นิเจอร์ โดยสินค้าเหล่านี้รวมกันคิดเป็นประมาณ 1 ใน 5 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปยังตลาดสหรัฐ ซึ่งผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวอาจได้รับผลกระทบและต้องแสวงหาตลาดอื่นทดแทน

ความท้าทายอีกประการหนึ่งคือ วิกฤตการณ์ของประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ประสบปัญหาหนี้สาธารณะและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับรุนแรง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในเอเชีย ได้แก่ ลาว เมียนมา ปากีสถาน และศรีลังกา ซึ่งเป็นประเทศร่วมภูมิภาคที่มีความเชื่อมโยงกับไทย หากรวมสัดส่วนการส่งออกของไทยไปทั้ง 4 ประเทศแล้ว จะมีมูลค่ารวมกันประมาณ 3.79% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด

ส่วนการนำเข้ามีมูลค่ารวมประมาณ 2.39% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมดของไทย Krungthai COMPASS มองว่า ความเสี่ยงดังกล่าวถือเป็นประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังหากปัญหาข้างต้นบานปลายจนกลายเป็นวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในอนาคต

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai Global Markets ธนาคารกรุงไทย ประเมินว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้จนถึงปีหน้า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทจะขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ทิศทางเงินดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่สะท้อนผ่านดุลบัญชีเดินสะพัด และทิศทางกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายของนักลงทุนต่างชาติ

ซึ่งประเมินว่าค่าเงินบาทมีโอกาสทยอยกลับมาแข็งค่าในช่วงปลายปีนี้ อยู่ที่ระดับ 34.25-34.50 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนปีหน้าประเมินว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่จะได้รับอานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยวและทิศทางการทยอยอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ จะส่งผลให้ค่าเงินบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 33.50-33.75 บาทต่อดอลลาร์ โดยช่วงครึ่งหลังของปี 2566 คาดว่าเงินบาท ณ สิ้นปีจะอยู่ที่ระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์

“ในปี 65-66 นี้ จะเป็นช่วงเวลาที่ภาคธุรกิจต้องให้ความสำคัญการบริหารความเสี่ยง ทั้งจากปัจจัยระยะสั้นและระยะยาว โดยในระยะสั้นเป็นการบริหารต้นทุนจากภาวะเงินเฟ้อสูงและการป้องกันผลกระทบต่อรายได้ และต้นทุนจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนในระยะยาว ภาคธุรกิจต้องรู้เท่าทันและปรับตัวสอดรับกระแสโลกที่เปลี่ยนไปตามวิถีใหม่ โดยเฉพาะการที่ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมาย Net Zero Emissions และการปฏิรูปเศรษฐกิจโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสใหม่ในทางธุรกิจได้อีกด้วย”