น้ำมันดิ่ง 5% กดดันหุ้นไทย ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าประคองตลาด

หุ้น น้ำมัน

บล.ฟิลลิป ประเมินภาวะตลาดหุ้นไทยเช้านี้ไม่ไปไหนไกล แกว่งตัวออกข้างในกรอบ 1,625-1,650 จุด รับแรงกดดันราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงกว่า 5.54% จีนสั่งปิดเมืองเสิ่นเจิ้นถึง 3 ก.ย. 65 เอฟเฟ็กต์บรรยากาศลงทุนภูมิภาค ด้านฟันด์โฟลว์กลับมาไหลเข้าช่วยประคองย่อตัวตลาด เตือนช่วงท้ายตลาดระวังความผันผวนจากการปรับน้ำหนัก MSCI จากราคาปิดวันนี้ แนะหุ้นรับอานิสงส์ค้าปลีกรับคนละครึ่งเริ่มพรุ่งนี้ TNP-CPALL-KK-MINT

วันที่ 31 สิงหาคม 2565 บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ว่า คาดดัชนี SET Index เช้านี้ไม่ไปไหนไกล แกว่งตัวออกข้างในกรอบ 1,625-1,650 จุด โดยมองการย่อตัวลงก่อนตามแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ร่วงลงวานนี้มากกว่า 5% รวมถึงประเด็นข่าวที่จีนสั่งปิดเมืองเสิ่นเจิ้น ซึ่งเป็นเมืองผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกจนถึงวันที่ 3 ก.ย. 65 น่าจะยังคงกดดัน Sentiment ลงทุนในภูมิภาค

หากแต่จะมีปัจจัยบวกช่วยประคับประคองการย่อตัวได้จากการกลับมาซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติวานนี้กว่า 2 พันล้านบาท หลังการขายสุทธิต่อเนื่องในช่วง 2 วันทำการก่อนหน้า อย่างไรก็ดีในช่วงท้ายตลาดอาจต้องระวังความผันผวนที่จะเข้ามาจากการปรับน้ำหนัก MSCI ที่จะมีผลคำนวณจากราคาปิดในวันนี้

โดยราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดดิ่งลง 5.54% มาที่ 91.65 ดอลลาร์/บาร์เรล ท่ามกลางความกังวลว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกจะนำไปสู่ความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลง อีกทั้งข่าวการที่อิรักพร้อมเพิ่มการส่งออกน้ำมันไปยังสหภาพยุโรป และแหล่งข่าวเผยอิหร่านอาจกลับมาส่งออกพลังงานเพิ่มหลังสามารถบรรลุข้อตกลงนิวเคลียกับทางสหรัฐได้ร่วมซ้ำเติมภาพรวมราคาน้ำมัน และน่าจะกดดันหุ้นกลุ่มพลังงานในวันนี้

ขณะที่วานนี้ประธานสมาคมธนาคารไทยเผยอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากการประชุม กนง. ในวันที่ 28 ก.ย.นี้ มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% มองว่าข่าวดังกล่าวทำให้กลุ่มธนาคารกลับมาน่าสนใจอีกครั้งตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น พร้อม ๆ กับภาพการฟื้นตัวของภาคการบริโภคและท่องเที่ยว จะเป็นอีกปัจจัยหนุนการเติบโต

ส่วนวานนี้ตัวเลข JOLTs Job Opening (เดือน ก.ค.) และ CB Consumer Confidence (เดือน ส.ค.) ของสหรัฐออกมาในทิศทางที่ดีกว่าคาดทั้งคู่ ทำให้ตลาดกลับมากังวลในท่าทีของเฟดที่อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากตลาดเริ่มบ่งชี้ถึงความสามารถในการแบกรับภาระทางการเงิน มองการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดรอบนี้อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังการส่งสัญญาณในเชิง Hawkish มากขึ้นของประธานเฟดในช่วงที่ผ่านมา

โดยประเด็นน่าจับตาคือ 1.วันที่ 31 ส.ค. ตัวเลข PMI ภาคการผลิตและบริการเดือน ส.ค. ของจีน และ 2.วันที่ 5 ก.ย. การประชุม OPEC+


สำหรับกลยุทธ์การลงทุน เน้นหุ้นในกลุ่ม 1.Anti-commodity เช่น BGRIM, SCC 2.หุ้นธนาคาร หลังสมาคมธนาคารไทยส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย เช่น KBANK, SCB, BBL, KKP 3.หุ้นเปิดเมืองท่องเที่ยว/ค้าปลีกรับคนละครึ่งในวันพรุ่งนี้ เช่น TNP, CPALL, KK, MINT