หุ้นไทยไซด์เวย์ลง 1,625-1,645 จุด ลุ้นบริโภคในประเทศประคองตลาด

หุ้น-ดัชนีหุ้น

“ฟิลลิป” ประเมินตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวออกข้างอิงทางลงก่อนในกรอบ 1,625-1,645 จุด ท่ามกลางแรงกดดัน “ราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งหลุด 90 ดอลลาร์/บาร์เรล-ECB และ FED เร่งขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อ-ชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน-ภูมิศาสตร์การเมืองยังระอุ ลุ้นความคาดหวังฟื้นตัวการบริโภคในประเทศและการท่องเที่ยวจะช่วยประคองการอ่อนตัวของตลาดได้”

วันที่ 1 กันยายน 2565 บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ว่า คาดแกว่งตัวออกข้างแต่น่าจะอิงทางลงก่อนในกรอบ 1,625-1,645 จุด ท่ามกลางแรงกดดันหลักจากภายนอกประเทศ อาทิ 1.ราคาน้ำมันดิบ WTI ยังเดินหน้าในทางลงต่อเนื่องกว่า 2.28% ปิดหลุดระดับ 90 ดอลลาร์/บาร์เรลอีกครั้ง จากความกังวลการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีนหลังหลายเมืองใหญ่เพิ่มความ
เข้มงวดในการควบคุมโควิด

2.การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราเร่งด่วนของธนาคารกลางหลักทั้งธนาคารกลางสหรัฐ (FED) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่เร่งตัวมากขึ้น 3.การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนหลังตัวเลขภาคการผลิตยังสะท้อนภาพการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2

และ 4.ประเด็นภูมิศาสตร์การเมืองที่ยังระอุทั้งจีน-ไต้หวัน ท่ามกลางการซ้อมรบของจีนที่อยู่ใกล้เขตแดนไต้หวัน และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังดำเนินต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีด้านปัจจัยบวกที่จะช่วยประคองการย่อตัวของตลาดน่าจะมาจากภายในมากกว่า

โดยความคาดหวังการฟื้นตัวของภาคการบริโภคภายในประเทศและการท่องเที่ยวจะช่วยประคองการอ่อนตัวของตลาดได้บ้าง ท่ามกลางแรงซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติที่เข้าซี้อตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นต่อกันเป็นวันที่ 2

สำหรับรายละเอียดความกังวลเศรษฐกิจจีนชะลอตัวนั้น วานนี้จีนได้ประกาศตัวเลข PMI ภาคการผลิตหดตัวต่ำกว่าระดับปกติ 50 เป็นเดือนที่ 2 อันเป็นผลสืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด วิกฤตพลังงาน และการทรุดตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ในวันนี้ตลาดยังจับตาตัวเลข Caixin Manufacturing PMI เดือน ส.ค. ที่จะประกาศในเช้านี้ ซึ่งตลาดคาดอยู่ที่ 50.2 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 50.4 ดังนั้นภาพรวมที่อิงทางการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีนซึ่งเป็นเศษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก จะมีส่วนกดดัน sentiment ลงทุนได้

ส่วนวานนี้ Eurostat รายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ส.ค. 65 ทุบสถิติใหม่ออกมาขยายตัว 9.1% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) สูงกว่าที่ตลาดคาดจะขยายตัว 9.0% และเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ขยายตัว 8.9% โดยสาเหตุของการเพิ่มขึ้นยังเป็นผลราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูง

ทั้งนี้เนื่องด้วยตัวเลขเงินเฟ้อที่ยังไม่มีท่าทีจะลดลง หลังปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน ส่งผลให้การประชุม ECB รอบล่าสุดที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 8 ก.ย. 65 นี้ ตลาดคาดการณ์ว่า ECB อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.50% เช่นเดียวกับรอบการประชุมก่อนหน้า (21 ก.ค. 65) หรือมากกว่านี้ที่ 0.75%

โดยกลยุทธ์การลงทุน มองหุ้นที่ยังน่าสนใจคือ 1.กลุ่ม Anti-commodity เช่น BGRIM, GULF, GPSC, SCGP 2.หุ้นบาทอ่อน เช่น SAPPE, MEGA 3.หุ้นใหญ่ที่มักเป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ เช่น BDMS