หุ้นไทยแกว่งตัว 1,658-1,675 จุด รอดูเงินเฟ้อสหรัฐเดือน ส.ค.

หุ้นไทย13กันยา
ภาพจาก pixabay

“อินโนเวสท์ เอกซ์” ประเมินตลาดหุ้นไทยวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1,658-1,675 จุด คาดตลาดรอดูตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐประจำเดือน ส.ค. เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ถึงการขึ้นดอกเบี้ยเฟด 20-21 ก.ย.นี้ 

วันที่ 13 กันยายน 2565 บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด รายงานแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ว่า คาดดัชนี SET Index เคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1,658-1,675 จุด โดยคาดตลาดรอดูตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐประจำเดือน ส.ค. เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ถึงการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 20-21 ก.ย.นี้

ด้านกรอบล่างอยู่แนวรับถัดไปอยู่ที่ 1,650 จุด หากต่ำกว่าเริ่มเป็นลบ และยังมีมุมมองแบบระมัดระวังต่อแรงขายทำกำไรจากดัชนีที่ขึ้นมาร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง

แม้มองตลาดรับรู้ความเสี่ยงไปพอสมควรแล้ว ทำให้มีโอกาสน้อยที่ Downside จะลงลึก แต่ช่วงสั้นคาดดัชนีหุ้นไทยยังมี Upside จำกัดเช่นกัน จึงเน้นเลือกลงทุนอย่างระมัดระวังในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1.หุ้น Defensive ที่ผลประกอบการอิงเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศ เลือก ZEN, HTC, ADVANC
2.หุ้นที่คาดได้ Sentiment บวกจากสถานการณ์น้ำท่วมซึ่งเป็นความเสี่ยงตามฤดูกาลที่เกิดขึ้นใน ก.ย.-ต.ค. เลือก HMPRO, GLOBAL, CPALL, BJC, TASCO

ช่วงสั้นแนะนำให้หลีกเลี่ยงหรือเพิ่มความระมัดระวังการลงทุน สำหรับกลุ่มที่มีปัจจัยลบกดดันผลประกอบการ และ/หรือราคาหุ้น ดังนี้

1.หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปัญหา Supply chain หลังจีนยังคงดำเนินมาตรการล็อกดาวน์เมืองใหญ่เป็นระยะ โดยเฉพาะที่เป็นฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ อย่าง เฉิงตู, เสิ่นเจิ้น, กุ้ยหยาง ซึ่งมีโอกาสกดดันคำสั่งซื้อและการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องจากบริษัทผู้ผลิตในไทย

2.หุ้นท่องเที่ยวหลังมองราคาหุ้นปรับขึ้นมาแรงแล้ว ขณะที่ล่าสุดอาจได้รับ sentiment ลบจากจีนกลับมาล็อกดาวน์และยุโรปเผชิญปัญหาค่าครองชีพพุ่ง

เรามองตลาดจะยังคงให้น้ำหนักกับความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกถดถอยที่มีมากขึ้น หลังเฟดยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงต่อเนื่องเพื่อคุมเงินเฟ้อ ขณะที่ยุโรปกำลังเผชิญกับเงินเฟ้อสูงและวิกฤตพลังงาน อีกทั้งจีนยังใช้นโยบาย Zero COVID ทำให้มีการล็อกดาวน์เมืองใหญ่เป็นระยะ ๆ ซึ่งย่อมกระทบต่อการลงทุนในระยะถัดไป ทำให้มองดัชนีมี Upside จำกัด ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในหุ้นที่มีคุณภาพดีมีปัจจัยบวกเฉพาะเป็นหลัก

โดยวันนี้สหรัฐรายงานอัตราเงินเฟ้อ ส.ค. คาด 8.1% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) จาก 8.5% YOY ในเดือน ก.ค. ขณะที่เฟดนิวยอร์กระบุผลสำรวจผู้บริโภคลดคาดการณ์เงินเฟ้อช่วง 1-3 ปีข้างหน้าลง

ขณะที่สหรัฐเตรียมจำกัดการส่งออกชิปที่นำไปใช้ด้าน AI และเครื่องมือผลิตชิปไปยังจีนเพิ่มเติมอีก 3 บริษัท ต่อจาก NVIDIA และ AMD

และประชุม ครม.วันนี้ คาดพิจารณาหลายประเด็นสำคัญ เช่น ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำมีผล 1 ต.ค. ขยายเวลาลดภาษี ดีเซล 5 บาท/ลิตร ถึง 30 พ.ย. ออกมาตรการช่วยค่าไฟกลุ่มเปราะบาง ส่วนกระทรวงพาณิชย์เสนอประกันรายได้ปาล์ม-มันสำปะหลังปี 4

และวันนี้ประชุมอนุกรรมการส่งเสริม EV คาดออกมาตรการสนับสนุนผู้ผลิตแบตเตอรี่ รวมกว่า 1 GW ให้วงเงินช่วยเหลือสูงสุด 600 ล้านบาท

ด้าน ททท.กังวลสถานการณ์น้ำท่วมกระทบการท่องเที่ยวกลุ่มอบรม-สัมมนาในไตรมาส 3/65 คาดไปกระจุกตัวในไตรมาส 4/65 ตั้งเป้ารายได้จากกลุ่มนี้ 6.56 แสนล้านบาท

ขณะที่ BOI คาดคำขอลงทุนโดยรวมจะลดลง 22% สู่ 5 แสนล้านบาทในปีนี้ โดยครึ่งปีแรกยอดคำขอรับการส่งเสริมลงทุนอยู่ที่ราว 2 แสนล้านบาท ลดลงเล็กน้อย YOY

ส่วน iPhone 14 series ได้รับความสนใจอย่างมากในจีน จนทำให้เว็บไซต์ของแอปเปิลล่ม เนื่องจากมีคำสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก

แนะนำหุ้นเด่น CPALL โมเมนตัมกำไรยังดีคาดได้ประโยชน์จากสถานการณ์น้ำท่วม ขณะที่ไตรมาส 3/65 คาดกำไรจะปรับตัวดีขึ้น YOY หนุนจากธุรกิจ CVS และส่วนแบ่งกำไรจาก MAKRO ที่ดีขึ้นจากฐานต่ำของปีก่อนสืบเนื่องมาจากการล็อกดาวน์ และ synergy จาก MAKRO กับ Lotus’s และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) จากปัจจัยฤดูกาล

และ COM7 ครึ่งปีหลังคาดยอดขายเพิ่มขึ้น ได้อานิสงส์การเปิดตัว iPhone 14 ซึ่งมีการประมวลผลที่ดีขึ้นและมีฟีเจอร์ใหม่ Emergency SOS แต่ราคาสหรัฐไม่ปรับขึ้น (ราคาไทยเพิ่มขึ้นจากบาทอ่อน) คาดมีกระแสตอบรับอย่างคึกคัก นอกจากนี้ Apple ขยับไทยสู่ประเทศ Tier-1 เริ่มจำหน่ายได้ 16 ก.ย.นี้