ส่องหุ้น “พลังงาน-สาธารณูปโภค” ท็อป 10 มาร์เก็ตแคปใหญ่สุดในตลาดหุ้นไทย
วันที่ 17 กันยายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานการจัดอันดับหุ้นในหมวดธุรกิจ “พลังงานและสาธารณูปโภค” ที่มีขนาดมาร์เก็ตแคปใหญ่สุดติดท็อป 10 ในตลาดหุ้นไทย (อ้างอิงข้อมูลล่าสุด 14 ก.ย.65)
- ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด นราธร-อุรัชนา ศรีชาพันธุ์ ถูกฟ้องล้มละลาย
- เปิดเกณฑ์แจกเงินผู้สูงอายุ 3,000 บาท เช็กขั้นตอนรับเงิน
- บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้สูงอายุรับ 900 บาท เริ่มโอนแล้ว เช็กรายละเอียด
1.บมจ.ปตท (PTT) มูลค่ามาร์เก็ตแคป 1,049,690.11 ล้านบาท มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) อยู่ที่ 5.44%
2.บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) มูลค่ามาร์เก็ตแคป 653,062.60 ล้านบาท มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล อยู่ที่ 3.04%
3.บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) มูลค่ามาร์เก็ตแคป 648,256.54 ล้านบาท มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล อยู่ที่ 0.80%
4.บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) มูลค่ามาร์เก็ตแคป 336,632.50 ล้านบาท มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล อยู่ที่ 0.33%
5.บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) มูลค่ามาร์เก็ตแคป 324,000 ล้านบาท มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล อยู่ที่ 1.70%
6.บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) มูลค่ามาร์เก็ตแคป 194,561.33 ล้านบาท มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล อยู่ที่ 2.17%
7.บมจ.ไทยออยล์ (TOP) มูลค่ามาร์เก็ตแคป 114,241.56 ล้านบาท มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล อยู่ที่ 4.64%
8.บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) มูลค่ามาร์เก็ตแคป 98,410.48 ล้านบาท มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล อยู่ที่ 1.11%
9.บมจ.บ้านปู (BANPU) มูลค่ามาร์เก็ตแคป 94,725.52 ล้านบาท มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล อยู่ที่ 2.86%
10.บมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH) มูลค่ามาร์เก็ตแคป 93,525.00 ล้านบาท มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล อยู่ที่ 3.88%
ส่องคำแนะนำโบรกเกอร์
บล.พาย คงคําแนะนํา “ซื้อ” หุ้น GULF ปรับเพิ่มมูลค่าพื้นฐานขึ้น 7% เป็น 62 บาท หลังจากปรับมูลค่าหุ้นเชิงรวมส่วนธุรกิจ (SOTP) ที่รวมประเด็นการเข้าซื้อโรงไฟฟ้า Jackson Generation ขนาด 588MWe ในสหรัฐฯ ที่จะช่วยเพิ่มกําลังการผลิตในการดําเนินงานของบริษัทขึ้น 11% ภายในปี 2023 ภาพรวมปี 2023 ค่อนข้างสดใสด้วยคาดการณ์อัตราการเติบโตของกําไรที่ 31% YoY จากการรับรู้กําไรเต็มปีจากกําลังการผลิต 1.5GWe (Jackson Generation และโครงการอื่นที่เริ่มดําเนินงานเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2022
บล.เอเซียพลัส จำกัด รายงานว่า PTT มีกําไรสุทธิไตรมาส 2/65 อยู่ที่ 3.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.9% QoQ โดยเป็นผลจากผลการดําเนินงานปกติที่เพิ่มขึ้น 63.7% QoQ หลัก ๆ เป็นผลมาจากธุรกิจ
โรงกลั่น, ก๊าซฯ และ PTTEP ที่มีผลการดําเนินงานที่ดีขึ้น
สําหรับแนวโน้มกําไรไตรมาส 3/65 คาดจะปรับตัวลดลงจากไตรมาส 2/65 ตามค่าการกลั่นที่ปรับตัวลดลงมีนัยในปัจจุบัน ขณะที่ PTTEP คาดกําไรปกติลุ้นประคองตัว QoQ ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง แต่จะชดเชยได้กับปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น
ส่วนธุรกิจหลักก๊าซฯน่าจะเห็นผลการดําเนินงานที่ค่อย ๆ ดีขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ประเมินมูลค่าพื้นฐาน PTT สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 52 บาทต่อหุ้น แนะนําซื้อลงทุนระยะยาว จากกําไรที่แข็งแกร่งจากการเป็น holding company อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นถือว่า laggard กลุ่มฯ และราคาน้ำมันอยู่มาก รวมถึงมีการจ่ายปันผลในระดับที่ดี Dividend Yield กว่า 5% ต่อปี
บล.หยวนต้า ประเมินหุ้น PTTEP ให้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 176 บาท เป็น PBV ที่ 1.4 เท่า ถือว่าสมเหตุสมผลเพราะใกล้เคียงปี 2556 ที่มีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) 15% เท่ากัน ทั้งนี้
เรามองว่าช่วงเวลาดีสุดของราคาน้ำมันผ่านไปแล้วในครึ่งปีแรก และเชื่อว่า Earnings Upgrade ของ PTTEP กำลังจะผ่านไป จึงคงคำแนะนำเทรดดิ้ง สำหรับเก็งกำไรตามราคาน้ำมันที่มีโอกาสสูงขึ้นช่วงปลายปี
บล.พาย คงคําแนะนํา “ซื้อ” หุ้น RATCH แต่ปรับเพิ่มมูลค่าพื้นฐานขึ้น 15% เป็น 55 บาท คํานวณด้วยวิธีคิดลดเงินสด (DCF) อิง 11xPE’23E หลังจากปรับเพิ่มมูลค่า DCF ขึ้นเพื่อสะท้อนถึงการขยายกําลังการผลิตใหม่ 1.5GW จากโครงการร่วมทุน Nexif RATCH (NEJV) คาดกาไรไตรมาส 3/65 ปรับดีขึ้น YoY และ QoQ หนุนจากช่วง high season สําหรับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ
รวมถึงการรับรู้กําไรจากกำลังการผลิต 205MWe ที่เพิ่มเข้ามาในครึ่งหลังปี 64 ถึงครึ่งแรกปี 65 ภาพรวมปี 66 ค่อนข้างสดใสสืบเนื่องจากการรับรู้กําไรเต็มปีจากกําลังการผลิตใหม่ 2.5GWe (Paiton,NEJV) ด้วยเม็ดเงินจากการเพิ่มทุนที่แล้วเสร็จไปในไตรมาส 2/65 ที่จะช่วยชดเชยผลการลดทอนกําไรต่อหุ้น (EPS dilution) ได้