กสิกรไทย คาดแบงก์ขึ้นดอกเบี้ยตามหลัง กนง. เฉลี่ย 0.125-0.25%

ดอกเบี้ย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยทั่วโลกเผชิญโจทย์ “เงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยขาขึ้น-ค่าเงินอ่อนค่า” ชี้สัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐ-ยุโรป ส่อเข้าสู่ภาวะถดถอยปลายปีนี้-ต้นปี 66 พร้อมคงจีดีพีไทยปีนี้โตได้ 2.9% มองแบงก์ตบเท้าขึ้นดอกเบี้ยหลังมติ กนง.เฉลี่ย 0.125-0.25% แม้สภาพคล่องสูง ระบุเงินบาทอ่อนค่าเฉลี่ย 10-15% กดดันต้นทุนนำเข้าเพิ่ม 2.2%

วันที่ 28 กันยายน 2565 นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ มองว่าสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.ดังกล่าว ผนวกกับนโยบายการปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ กลับมาที่ 0.46% ตั้งแต่ต้นปี 2566 นั้น คงทำให้ธนาคารพาณิชย์ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำและเงินกู้มาตรฐานตามเฉลี่ย 0.125-0.25% แม้ว่าสภาพคล่องจะอยู่ในระดับสูง แต่การปรับจะแตกต่างกันแต่ละธนาคาร เนื่องจากพอร์ตและฐานลูกค้ามีความแตกต่างกัน

  

ขณะที่ แม้มองว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะไม่ส่งผลให้เกิดภาวะการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL Cliff) เนื่องจากธนาคารพาณิชย์เร่งปรับโครงสร้างหนี้และบริหารจัดการหนี้ในเชิงรุก แต่ประเด็นเรื่องคุณภาพหนี้และการช่วยเหลือลูกค้าก็ยังต้องจับตามองอย่างต่อเนื่อง

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์สัดส่วนหนี้ด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมของระบบธนาคารพาณิชย์อยู่ในกรอบ 2.90-3.10% ภายในสิ้นปีหน้า เทียบกับ 2.88% ณ สิ้นไตรมาส 2 ของปี 2565 ส่วนแนวโน้มสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย คาดว่าจะขยายตัวในกรอบ 4.5-6.0% ในปี 2566 เทียบกับประมาณ 5.0% ในปีนี้ ซึ่งถือว่าไม่ได้สูงมาก ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ยังมีอยู่มาก

“ประเด็นคุณภาพหนี้ยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม เพราะแม้ว่าเอ็นพีแอลจะไม่สูง แต่จะเห็นตัวเลข SM หรือสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษเพิ่มขึ้นสูงหลายเช็กเตอร์ โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังไม่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ ดังนั้น เรามองว่าแบงก์จะมีการปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกมากขึ้น ทำให้ความกังวลในการเกิดหน้าผาเอ็นพีแอลอาจจะไม่มี”

คงจีดีพีปีนี้โต 2.9% จับตาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว

นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐคงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคอีกครั้ง (Technical Recession) ปลายปี 2565 ต่อช่วงต้นปีหน้า เช่นเดียวกับเศรษฐกิจยุโรปที่คงจะเห็นภาวะดังกล่าวที่จีดีพีหดตัวจากไตรมาสก่อนหน้า (Quarter-on-Quarter Contraction) ติดต่อกันเป็นระยะเวลาสองไตรมาส ซึ่งทำให้การฟื้นตัวของไทยคาดหวังแรงส่งจากฝั่งการส่งออกได้ลดลง 

นอกจากนี้ สถานการณ์เงินเฟ้อโลกจะยังไม่ลดลงเร็ว โดยได้รับแรงกดดันจากปัญหาการเมืองระหว่างประเทศที่ยืดเยื้อ ดังนั้น เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี 2565 ต่อเนื่องถึงปี 2566 จึงต้องพึ่งพาแรงส่งจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้ไว้ที่ 9.75 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 7.2 ล้านคน ขณะที่ปี 2566 จำนวนนักท่องเที่ยวคาดว่าจะขยับขึ้นมาที่ 13.0-20.0 ล้านคน ซึ่งยังต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤตโควิดที่ 40 ล้านคนอย่างมีนัยสำคัญ โดยรวมแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงยังคงประมาณการจีดีพีของปี 2565 ไว้ที่ 2.9% ขณะที่ แม้ในปี 2566 จีดีพีจะขยายตัวเร่งขึ้นมาที่กรอบ 3.2-4.2% แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยเสี่ยงให้ติดตามทั้งเงินเฟ้อ การขึ้นดอกเบี้ย และภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลายประเทศ

ส่วนด้านแนวโน้มดอกเบี้ยนั้น คาดว่าเฟดจะเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในการประชุมอีก 2 ครั้งที่เหลือของปีนี้ และอาจลากไปถึงช่วงแรกของปีหน้า ขึ้นกับระดับความแรงของอัตราเงินเฟ้อและขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในแต่ละครั้งของเฟด

ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยคงปรับขึ้นต่อเนื่องไปถึงไตรมาสแรกของปี 2566 เป็นอย่างน้อย แต่ในขนาดการปรับขึ้นที่ค่อยเป็นค่อยไป ส่วนเงินบาทในช่วงที่เหลือของปี 2565 นี้ คาดว่าจะยังเคลื่อนไหวในกรอบที่อ่อนค่า ตราบใดที่เงินดอลลาร์มีแรงหนุนจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด

“ตอนนี้โจทย์ที่ทุกคนเจอร่วมกันคือ เงินเฟ้อ ทิศทางการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งในบางเศรษฐกิจเจอในเรื่องของค่าเงินอ่อนค่าด้วย โดยเรามองว่าสหรัฐและอียูจะเข้าสู่ Recession ตั้งแต่ปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า และท้ายที่สุดมุมมองของเฟดต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ย จะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจเงินเฟ้อ อัตราการว่างงาน ซึ่งระหว่างปีดอลลาร์มีทิศทางแข็งค่า และยังเป็นแรงกดดันค่าเงินประเทศอื่นมีทิศทางอ่อนค่า รวมถึงไทยด้วย”

บาทอ่อนกระทบต้นทุนนำเข้าเพิ่ม 2.2% 

นางสาวเกวลิน รองกรรมการผู้จัดการ มองว่า สำหรับภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ในช่วงที่เหลือของปีนี้และปี 2566 นั้น ยังเผชิญสภาวะที่ท้าทายอยู่มาก โดยเฉพาะจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจหลักในโลกที่เป็นประเทศคู่ค้าหลักของไทย ทำให้อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกอาจไม่ได้รับอานิสงส์จากเงินบาทอ่อนค่าอย่างเต็มที่ สำหรับภาคการท่องเที่ยวก็เช่นกัน ตลาดนักท่องเที่ยวหลักที่เดินทางมา เผชิญปัญหาค่าเงินที่อ่อน และบางประเทศเผชิญความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย

ประกอบกับราคาพลังงานที่สูงดันค่าโดยสารเครื่องบินและค่าใช้จ่ายรายการอื่น ๆ ให้แพงขึ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลต่อการตัดสินใจเดินทางหรือใช้จ่าย ขณะที่การอ่อนค่าของเงินบาท 10-15% จะกระทบต้นทุนนำเข้าภาคอุตสาหกรรมเฉลี่ยประมาณ 2.2% ดังนั้น จึงเป็นโจทย์ที่ภาคอุตสาหกรรมต้องเตรียมตัวรับมือ เส้นทางของการฟื้นตัวในปีหน้าจึงยังไม่ถือว่าราบรื่นนัก