คลังแจก ช้อปดีมีคืน เพิ่มลดหย่อนภาษี 4 หมื่น

ช้อปดีมีคืน

คลังเคาะ “ช้อปดีมีคืน” ลดหย่อนภาษีสูงสุด 4 หมื่นบาท ชง ครม. 29 พ.ย.นี้ กระตุ้นเศรษฐกิจต้นปีหน้า พร้อมแพ็กเกจ “ของขวัญปีใหม่” ทั้งต่อเวลาลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนองบ้าน-แบงก์รัฐลดดอกเบี้ยลูกหนี้ชำระดี “เลขาธิการ สศช.” ชี้ไม่จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมช่วงปลายปีนี้ ห่วงปีหน้า “เสี่ยงกว่า”

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังได้ข้อสรุปมาตรการช้อปดีมีคืน หรือช้อปช่วยชาติแล้ว ว่าจะให้มีผลกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการบริโภคและการท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงต้นปีหน้า เช่นเดียวกับที่ดำเนินการไปเมื่อต้นปี 2565 ที่ผ่านมา โดยจะให้มีผลระหว่างวันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ. 2566 รวม 46 วัน ทั้งนี้ คาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบได้ภายในไม่เกินวันที่ 29 พ.ย.นี้

ซึ่งมาตรการจะเพิ่มเติมจากเดิมที่ให้นำรายจ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการที่เกิดขึ้นในช่วงดังกล่าวมาลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท แต่รอบนี้จะเพิ่มสำหรับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ให้อีก 10,000 บาท

“รอบนี้ นอกจากสามารถใช้ใบกำกับภาษีเป็นกระดาษ มาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30,000 บาท ยังสามารถนำใบกำกับภาษีที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์มาลดหย่อนได้เพิ่มอีก 10,000 บาท รวมเป็น 40,000 บาท” แหล่งข่าวกล่าว

ทั้งนี้ รายจ่ายค่าซื้อสินค้าและบริการที่นำมาใช้สิทธิตามมาตรการได้ หลัก ๆ ก็จะเหมือนมาตรการครั้งที่ผ่านมา คือ ค่าซื้อสินค้าและบริการ โดยจะยกเว้นค่าซื้อสุรา เบียร์ ไวน์ ยาสูบ รถยนต์ จักรยานยนต์ เรือ หนังสือพิมพ์และนิตยสาร ค่าบริการอีบุ๊ก ค่าที่พักโรงแรม ค่าไกด์นำเที่ยว ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต และค่าเบี้ยประกัน

แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับค่าที่พักโรงแรม ที่เดิมจะให้ลดหย่อนภาษีด้วยนั้น เนื่องจากล่าสุดทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะมีมาตรการอื่น ๆ ดังนั้นมาตรการนี้จึงไม่ได้ให้สิทธิลดหย่อนภาษีด้วย

ADVERTISMENT

รัฐเสียรายได้ 8.2 พันล้าน

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า การดำเนินมาตรการรอบนี้ คาดว่าจะทำให้ทางกรมสรรพากรสูญเสียรายได้กว่า 8,200 ล้านบาท แต่จะทำให้เกิดเงินหมุนในระบบกว่า 56,000 ล้านบาท และน่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้กว่า 0.1-0.2%

“เดิมจะใช้ช้อปดีมีคืนกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปีนี้ แต่หลังจากประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจแล้ว ยังไม่จำเป็น อีกอย่างมาตรการช้อปดีมีคืนสำหรับปีนี้ก็ดำเนินการไปแล้วในช่วงต้นปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ช้อปดีมีคืนจะเป็น 1 ในแพ็กเกจของขวัญปีใหม่ที่จะมอบให้ประชาชน” แหล่งข่าวกล่าว

ADVERTISMENT

ขยายเวลาลดค่าโอน-จดจำนอง

แหล่งข่าวกล่าวว่า ที่ผ่านมา นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ได้มอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดและสถาบันการเงินของรัฐ จัดเตรียมมาตรการและโครงการต่าง ๆ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน โดยขณะนี้หลายหน่วยงานได้ส่งมาให้กระทรวงการคลังรวบรวมเพื่อเสนอ ครม. ซึ่งคาดว่าจะเสนอ ครม.ภายในเดือน พ.ย.นี้เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ นอกจากช้อปดีมีคืนแล้ว ก็จะมีการขยายเวลามาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย โดยการลดค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% ลงเหลือ 0.01% และลดค่าธรรมเนียมการจำนองจาก 1% ลงเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ เฉพาะที่มีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว อาคารพาณิชย์ และห้องชุด เป็นต้น

“คาดว่าจะขยายเวลาลดค่าธรรมเนียม ค่าจดจำนองออกไปอีก 1 ปี จากมาตรการเดิมที่จะสิ้นสุดในสิ้นปีนี้” แหล่งข่าวกล่าว

แบงก์รัฐ คืนดอกเบี้ย 1,000 บาท

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ในส่วนแบงก์รัฐได้เตรียมมาตรการชำระดีมีคืน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ เช่นเดียวกับหลายปีที่ผ่านมา โดยลูกค้าที่มีประวัติการชำระหนี้ดีก็จะได้รับดอกเบี้ยคืน อาทิ ธนาคารออมสิน คืนเงินให้ลูกค้าที่ชำระหนี้ดี 500 บาท, ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) คืนเงินลูกค้าสินเชื่อบ้านที่ผ่อนชำระดี ตั้งแต่ 500-1,000 บาท เป็นต้น

ขณะที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีโครงการชำระดีมีคืนมาตั้งแต่ช่วงเดือน มิ.ย. 2565 ที่ผ่านมาแล้ว เพื่อจูงใจให้ลูกหนี้กลับมาชำระหนี้ เนื่องจากขณะนี้สัญญาณหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยโครงการมีกรอบวงเงินรวม 2,000 ล้านบาท ดำเนินการถึงสิ้นปีบัญชี 2566 (31 มี.ค. 2566) ซึ่งขณะนี้มีลูกหนี้ได้รับการคืนดอกเบี้ยแล้ว 1.4 ล้านราย เป็นเงิน 570 ล้านบาท

เบรกกระตุ้นเพิ่มปลายปี

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยได้ฟื้นตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ต่าง ๆ เริ่มกลับมาดีขึ้น ทั้งการบริโภคเอกชนและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวมากขึ้น จากการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มเดินทางกลับเข้ามา เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มผ่อนคลาย ฉะนั้นประเมินว่าจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2565 หากสถานการณ์ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คาดว่าเศรษฐกิจไทยก็จะฟื้นตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ และจะเข้าสู่ภาวะปกติ

ทั้งนี้ มองว่าในช่วงปลายปี 2565 นี้ ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการมากระตุ้นเศรษฐกิจ จะต้องรอติดตามสถานการณ์ในปี 2566 เนื่องจากปีหน้ายังคงมีความเสี่ยงในเรื่องของเศรษฐกิจโลกค่อนข้างมาก ซึ่งหากจะมีมาตรการออกมาก็ควรที่จะเป็นมาตรการสำหรับใช้ในปี 2566

“ขณะนี้ปี 2565 เหลือเพียง 2 เดือนเท่านั้น คงยังไม่มีความจำเป็นที่จะออกมาตรการอะไรเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพราะขณะนี้ทุกอย่างยังสามารถเดินหน้าได้ ไม่ได้มีปัจจัยอะไรเข้ามากระทบ ดังนั้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนที่เคยออกมาช่วงเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากโควิด คงไม่ได้ออกมาในช่วงปลายปีนี้ แต่รัฐจะมีของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายช่วงต้นปี เช่น ช้อปดีมีคืน ซึ่งก็เป็นการลดหย่อนภาษีให้ เป็นต้น” นายดนุชากล่าว

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทย ปี 2565 จะขยายตัวได้ 3.4% และปีหน้าจะขยายตัวได้ 3.8% โดยขณะนี้เศรษฐกิจไทยมีความชัดเจนว่า มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากภาคการส่งออก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากค่าเงินบาท และต่อมาคือภาคการท่องเที่ยว โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยแล้ว 8.4 ล้านคน คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีกว่า 10 ล้านคน ถือเป็นจำนวน 1 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวก่อนสถานการณ์โควิด

“หากปีหน้ากลุ่มนักท่องเที่ยวอาเซียน รวมทั้งอินเดีย มาเพิ่มมากขึ้น จะทำให้เศรษฐกิจปีหน้าเติบโตขึ้นด้วย นอกจากนี้ในปี 2566 ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนที่มีความต่อเนื่อง จากโครงการต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อีกช่องทางหนึ่ง” นายอาคมกล่าว