ธนาคาร CIMBT แจ้งผลประกอบการปี’65 กำไรสุทธิ 3,033.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.3% จากการคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น-ตั้งสำรองลด 39.4% ขณะที่รายได้จากการดำเนินงานลดลง 2.9% ส่วน NIM ลดลงมาอยู่ที่ 2.7% จากปีก่อนอยู่ที่ 3.1% ด้านหนี้เสียลดลงเหลือ 3.3%
วันที่ 20 มกราคม 2566 ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย แจ้งว่าผลดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 มีกำไรสุทธิจำนวน 3,033.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 592.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 24.3 เมื่อเปรียบเทียบผลกำไรสุทธิของงวดเดียวกันปี 2564 สาเหตุหลักเกิดจากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงร้อยละ 39.4 เนื่องจากการลดลงของการด้อยค่าของสินทรัพย์
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- KNLA ถอนกำลังจากเมียวดี ไปโจมตีทหารเมียนมากองพล 55 ผู้ลี้ภัยข้ามฝั่งกลับแล้ว
ในขณะที่รายได้จากการดำเนินงานลดลงจำนวน 406.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.9 เป็นจำนวน 13,753.5 ล้านบาท เนื่องจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 346.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.5 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและธุรกิจเช่าซื้อ
รายได้จากการดำเนินงานอื่นลดลงจำนวน 107.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.9 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของกำไรสุทธิจากการขายเงินลงทุน สุทธิกับการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิจำนวน 47.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.4 ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมการจัดจำหน่าย
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2564 คงที่ ส่วนใหญ่เกิดจากการบริหารจัดการเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ร้อยละ 57.1 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2564 อยู่ที่ ร้อยละ 55.5 เนื่องจากรายได้จากการดำเนินงานลดลง
อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin-NIM) สำหรับปี 2565 อยู่ที่ร้อยละ 2.7 ลดลงจากงวดเดียวกันปี 2564 อยู่ที่ร้อยละ 3.1 เป็นผลจากต้นทุนเงินฝากที่เพิ่มขึ้นในขณะที่อัตราผลตอบแทนของเงินให้สินเชื่อลดลง
วันที่ 31 ธันวาคม 2565 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่นและเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 235.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.0 เมื่อเทียบกับเงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท) จำนวน 289.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.0 จากสิ้นปี 2564 ซึ่งมีจำนวน 239.5 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารลดลงเป็นร้อยละ 81.2 จากร้อยละ 88.5 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564
สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) อยู่ที่ 7.8 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ร้อยละ 3.3 ลดลงเมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 อยู่ที่ร้อยละ 3.7 สาเหตุหลักจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพในปี 2565 การบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ การปรับปรุงการบริหารคุณภาพสินทรัพย์และกระบวนการในการเก็บหนี้
อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ร้อยละ 114.6 ลดลงจากวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 117.5 ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 8.2 พันล้านบาท เป็นเงินสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1.5 พันล้านบาท
เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นวันที่ 31 ธันวาคม 2565 มีจำนวน 57.6 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงร้อยละ 21.8 โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 16.1