MFC ตั้งเป้าออกกองทุนปี’66 ราว 12 กองทุน ชูหุ้นเอเชีย-พลังงานทดแทนเด่น

นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์

บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) ตั้งเป้าออกกองทุนปี 2566 ไทย-ต่างประเทศ ราว 12 กองทุน ประเดิมกองทุนแรกออกตราสารหนี้สหรัฐ คาดเสนอขายเดือน ก.พ.นี้ ชี้ครึ่งปีแรกเศรษฐกิจยังผันผวน ชูหุ้นเด่นฝั่งเอเชียและธีมพลังงานทดแทน

วันที่ 26 มกราคม 2566 นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC กล่าวว่า การลงทุนสำหรับในครึ่งปีแรกของปี 2566 นี้ยังคงมีความผันผวนจากเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปที่มีความเสี่ยงชะลอตัว ส่งผลทำให้ บลจ.ต้องมีความละเอียดในการออกกองทุนมากขึ้น

ดังนั้นในครึ่งปีแรกลักษณะของกองทุนที่จะออกต้องเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำหรือมีกลไกในการป้องกันความเสี่ยงเศรษฐกิจขาลงได้ ก็จะเน้นไปที่การออกกองทุนประเภทตราสารหนี้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าสนใจเนื่องจากดอกเบี้ยสหรัฐที่ปรับขึ้นมาถึงระดับ 4-5% ทำให้มองการลงทุนในตราสารหนี้จะให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ

Advertisement

ส่วนภาพในครึ่งปีหลังเชื่อว่าจะดีกว่าในปีที่ผ่านมา หลังจากที่ตลาดซึมซับข่าวเรื่องของเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปชะลอตัวไปแล้วในครึ่งปีแรก ครึ่งปีหลังสินทรัพย์เสี่ยงจะน่าสนใจมากขึ้นและน่าจะมีการเน้นออกกองทุนประเภทตราสารทุนเพิ่มขึ้น

“สำหรับปีนี้ บลจ.ตั้งเป้าออกกองทุนราว ๆ 12 กองทุน แบ่งเป็นกองทุนในต่างประเทศ 8 กอง และกองทุนหุ้นไทยอีก 4 กองทุน ซึ่งคาดว่าจะทยอยออกมาในปีนี้  โดยจะประเดิมกองทุนแรกของปีด้วยกองทุนตราสารหนี้สหรัฐ คาดว่าจะได้เสนอขายในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้” นายธนโชติกล่าว

สำหรับตลาดการลงทุนที่เชียร์ในปีนี้จะเป็นตลาดหุ้นฝั่งเอเชียไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นจีน รวมถึงตลาดหุ้นไทย เนื่องจากในฝั่งสหรัฐ และยุโรปยังมีความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอและเงินเฟ้อที่สูง แต่ฝั่งเอเชียยังมีเงินเฟ้อที่ต่ำกว่า ส่วนการลงทุนในต่างประเทศให้เน้นลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพ โดยในสหรัฐจะเป็นตราสารหนี้ ในยุโรปจะเป็นเรื่องของหุ้นพลังงานทดแทน พลังงานสะอาด

Advertisement

นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ โดยเฉพาะธีมพลังงานทดแทนเป็นอีกธีมที่ปีนี้แนะนำเนื่องจากกำลังเป็นเทรนด์ของโลก หลาย ๆ บริษัททั่วโลกหันมาให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีที่ผ่านมาภาพรวมของผลตอบแทนกองทุนประเภทพลังงานทดแทนติดลบอยู่ที่ 7% เทียบกับตลาดหุ้นโลกที่ติดลบถึง 12%

สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนแม้ว่าปีนี้ภาพรวมอาจจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่การเลือกสินทรัพย์ลงทุนอย่างไรก็ดีควรประเมินความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ และประเมินเป้าหมายในการลงทุน เนื่องจากแผนการลงทุนของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ดังนั้น แนะนำให้เช็กความเสี่ยงและเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะกับตัวเองจะดีที่สุด

ทั้งนี้ นายธนโชติกล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่ผ่านมามีจำนวนลูกค้าเติบโตและยังคงมีจำนวนเงินสดจากลูกค้าใหม่เพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 2564 มูลค่าสินทรัพย์ (AUM) มีการเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด ขณะที่ในปี 2565 มี AUM ลดลง ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาดที่ผันผวน ส่วนในปี 2566 ก็คาดหวังให้ตลาดการลงทุนปีนี้เป็นไปในทิศทางที่ดีซึ่งก็น่าจะส่งผลต่อการเติบโตของ AUM ที่จะเพิ่มในอนาคตได้

Advertisement

“เรามุ่งมั่นพัฒนาและนำเสนอธีมการลงทุนที่เหมาะกับภาพของตลาดการลงทุน มีการนำเครื่องมือต่าง ๆ เข้ามาช่วยในการประมวลข้อมูลเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถนำเสนอธีมการลงทุนใหม่ ๆ ให้นักลงทุนได้”