CHASE ธุรกิจบริหารหนี้ เข้าเทรดวันแรกภายใน ก.พ.นี้ ลุยโรดโชว์สถาบัน

เชฎฐ์ เอเชีย หรือหุ้น CHASE พาร์ตเนอร์ RS พร้อมเข้าเทรดวันแรกภายในเดือน ก.พ.นี้ ลุยนำเงินระดมทุนซื้อหนี้-ทุนหมุนเวียน ตั้งเป้าปี 2566-2567 ซื้อหนี้ไม่มีหลักประกันเข้ามาบริหาร 2,550 ล้านบาท ย้ำหนี้สินต่อทุนต่ำ

 

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นของ บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ CHASE เปิดเผยว่า ตอนนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย(ก.ล.ต) ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นไอพีโอ CHASE ไปแล้วจำนวน 562 ล้านหุ้นแล้ว คิดเป็น 28.3% ของจำนวนหุ้นที่ออกแล้วเรียกชำระแล้ว เป็นหุ้นใหม่ 417 ล้านหุ้น และหุ้นเดิมของบริษัท อาร์เอส มอลล์ จำกัด อีกจำนวน 145 ล้านหุ้น โดยสัปดาห์หน้าจะเป็นการโรดโชว์กับนักลงทุนสถาบัน และกระบวนการจองซื้อหุ้นจะเกิดขึ้นภายในเดือน ก.พ.นี้ รวมถึงคาดว่าจะเข้าซื้อขายเป็นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ได้ช่วงเดือน ก.พ.เช่นกัน อยู่ในหมวดเซ็กเตอร์ธุรกิจการเงิน “เงินทุน/หลักทรัพย์”

สำหรับ CHASE เป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งและมีประสบการณ์ในธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพมาอย่างยาวนาน ผลจากจัดเก็บหนี้เสียที่ซื้อมาบริหารในอดีตอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์ให้ความเชื่อถือในการติดตามทวงถามหนี้ ซึ่งสามารถบริหารจัดการได้อย่างมืออาชีพ ทั้งยังช่วยเหลือลูกหนี้อย่างเต็มที่ และมีความสามารถในการจัดเก็บหนี้ที่ต้องมีการบังคับใช้กฎหมาย ดูได้จากอัตราค่าคอมมิชชั่นที่สูงกว่า 20% เนื่องจากบริษัทมีความสามารถในการตามเก็บหนี้สินที่ตามเก็บยาก ทำให้ธนาคารส่งหนี้ในลักษณะดังกล่าวให้มากกว่าบริษัทอื่น ๆ และส่งผลให้มีโอกาสในการเติบโตสูง

โดยเงินที่ได้จากการระดมทุน บริษัทจะใช้ในการซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงิน และเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของบริษัท โดยภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทยในปี 66 น่าจะดีขึ้นจากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้ลูกหนี้สามารถจ่ายชำระหนี้ได้ดีขึ้น ส่งผลดีต่อการเติบโตของธุรกิจยิ่งขึ้นไปอีก

นายประชา ชัยสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CHASE กล่าวว่า จากข้อมูลสถิติของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในระบบมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามยอดสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิดช่วงที่ผ่านมา และการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก โดยในปี 2564 มีอัตราส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมของธนาคารพาณิชย์มากถึง 531,000 ล้านบาท และคาดว่าธนาคารพาณิชย์จะต้องทยอยขายหนี้เสียออกมาหลังหมดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้จากผลกระทบโควิดในช่วงสิ้นปี 65 ทำให้เป็นโอกาสในการซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ

ขณะที่ด้านเศรษฐกิจไทยที่กำลังฟื้นตัว จากการเปิดประเทศ โดย GDP ในปี 2565-2566 ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่าจะสูงขึ้นเป็น 3.3% และ 3.7% ตามลำดับ จากการเปิดประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้การชำระของลูกหนี้ดีขึ้น ในฐานะที่บริษัทบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพครบวงจร มองว่าปีนี้น่าจะเป็นปีที่ดีของธุรกิจ เนื่องจากน่าจะมีสินทรัพย์ด้อยคุณภาพออกมาในตลาดมาก ขณะที่การจ่ายชำระของลูกหนี้ดีขึ้น

ทั้งนี้ CHASE มีธุรกิจหลักคือ บริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากการรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงิน พร้อมให้บริการติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้สิน และมีบริการดำเนินคดีแบบครบวงจร

โดยมีทีมบริหารที่แข็งแกร่ง มากประสบการณ์และทีมงานติดตามทวงถามพร้อมทั้งทีมกฎหมายที่ทำหน้าที่ติดตามและบริหารหนี้อย่างครบวงจรรวมกันมากกว่า 400 คน จึงทำให้คุมการบริหารจัดการและต้นทุนได้อย่างเบ็ดเสร็จ

ภายใต้กลยุทธ์หลักทางธุรกิจที่ใช้สร้างการเติบโตให้แก่บริษัทอย่างยั่งยืน ได้แก่ขยายพอร์ตเงินให้สินเชื่อแก่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPL) เพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามหนี้ผ่านระบบอัตโนมัติ พัฒนาและขยายทีมติดตามทวงหนี้และเร่งรัดหนี้สิน สร้างความสัมพันธ์กับสถาบันการเงินต่าง ๆ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริการและเพิ่มช่องทางการสื่อสาร

นางสาววรลักษณ์ ชัยสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน CHASE กล่าวว่า โดยงบการเงินของบริษัทงวด 9 เดือนปี 2565 มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 121.9 ล้านบาท มีอัตรากำไรสุทธิ 23.5% โดยมีรายได้หลักมาจากธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพสัดส่วน 60% และบริการติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้สิน อีก 34.3% ที่เหลืออื่น ๆ จนถึง 30 ก.ย.65 มียอดคงค้างหนี้ในพอร์ต 15,622 ล้านบาท โดยมากกว่า 90% เป็นหนี้ไม่มีหลักประกัน

ทั้งนี้ตามแผนในช่วงปี 2566-2567 บริษัทตั้งเป้าซื้อหนี้ไม่มีหลักประกันเสียมาบริหารไม่ต่ำกว่า 2,550 ล้านบาท หรือเฉลี่ยซื้อหนี้เข้ามาบริหารปีละประมาณ 1,000 ล้านบาท

และสำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานที่ผ่านมา CHASE เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงระหว่างปี 2562-2564 มีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) กว่า 10.8% รายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจบริหารสินทรัพย์จากการรับซื้อหรือโอน NPL ประมาณ 60% และธุรกิจติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้สินอีกประมาณ 34%

ในขณะเดียวกันกลุ่มบริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมีการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าการเติบโตของต้นทุนการให้บริการและค่าวิชาชีพ

อย่างไรก็ดี ในช่วงไตรมาส 3/2565 อัตรากำไรสุทธิปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า จากการตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ที่เพิ่มขึ้น โดยฐานะทางการเงินของกลุ่มบริษัทฯ มีสินทรัพย์ 2,875.5 ล้านบาท มีมูลค่าหนี้คงค้างประมาณ มีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) เท่ากับ 0.4 เท่า ซึ่งรองรับโอกาสในการเข้าซื้อหนี้ของกลุ่มบริษัทในอนาคตได้

อนึ่ง CHASE หนึ่งในผู้นำการให้บริการจัดการหนี้สินอย่างครบวงจร มีศักยภาพความเป็นผู้นำในวงการบริหารหนี้ จากประสบการณ์กว่า 25 ปี เสริมทัพด้วยทีมผู้บริหารมากประสบการณ์ และบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านการเงินและกฎหมาย

ทำให้ CHASE เติบโตเป็นบริษัทบริหารหนี้สินอย่างครบวงจรที่โดดเด่นที่สุดในอุตสาหกรรม และได้รับความไว้วางใจทั้งจากสถาบันการเงินชั้นนำ รวมถึงพันธมิตรสำคัญ อาร์เอส กรุ๊ป ซึ่งเข้าร่วมลงทุนผ่านบริษัทย่อยในสัดส่วน 35% ด้วยเล็งเห็นถึงโอกาสการเติบโตของบริษัท