ลุ้นเงินเฟ้อสหรัฐฯ-จีดีพีไทยปี 65 หนุนเงินบาทอ่อนค่า 34 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาท เงินบาท วิเคราะห์

แบงก์ประเมินกรอบเงินบาทสัปดาห์หน้าเคลื่อนไหว 33.30-34.20 บาทต่อดอลลาร์ จับตาตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน ม.ค. คาดลดลงจาก 6.5% เหลือ 6.2% ชี้ ออกมาสูงเกินคาดหนุนดอลลาร์แข็ง-บาทอ่อนค่า พร้อมประกาศตัวเลขจีดีพีไทยปี’65 ด้านกรุงศรีฯ คาดเติบโต 3.2%

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กรอบเงินบาทสัปดาห์หน้า (วันที่ 13-17 กุมภาพันธ์ 2566) เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 33.30-34.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบแนวต้านได้

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามที่อาจกระทบต่อทิศทางตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ จะเป็นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนมกราคม และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เพื่อประเมินมุมมองของเจ้าหน้าที่เฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และทิศทางนโยบายการเงินของเฟด รวมถึงรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมกราคม

นอกจากนี้ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรป ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจของยูโรโซนในไตรมาสที่ 4/2565 รวมถึงรายงานภาวะการจ้างงานในฝั่งอังกฤษและรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษในเดือนมกราคม และตลาดจะรอลุ้น ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) รวมถึงเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของทั้งบีโออีและอีซีบี

และในตลาดเอเชียจะรอติดตามภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ผ่านรายงานอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4/2565 รวมถึง ยอดการส่งออกและยอดการนำเข้าในเดือนมกราคม

Advertisment

ทั้งนี้ ในฝั่งนโยบายการเงิน ตลาดจะรอติดตาม ผลการประชุมของธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) และ ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) ซึ่งตลาดมองว่า ทั้งสองธนาคารกลางจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง เพื่อคุมให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงกลับสู่เป้าหมายให้สำเร็จ

ส่วนในไทย ตลาดจะรอจับตารายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา

“ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ และ การปรับสถานะ และมุมมองต่อค่าเงินบาท ของผู้เล่นต่างชาติ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้เช่นกัน โดยล่าสุด จะเห็นได้ว่า นักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่แรงขายบอนด์ระยะสั้นเริ่มชะลอตัวลงบ้างในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ประเมินว่า ผู้เล่นส่วนใหญ่เริ่มคาดว่า เงินบาทอาจพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้บ้างในระยะสั้น และมีสถานะการถือครองกลับมาเป็นฝั่ง Net Long USDTHB มากขึ้น”

Advertisment

สำหรับกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (ฟันด์โฟลว์) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า ตลาดหุ้นขายสุทธิ 1.5 หมื่นล้านบาท และตลาดพันธบัตร (บอนด์) ขายสุทธิ 1.03 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ ประเมินฟันด์โฟลว์สัปดาห์หน้า ในส่วนบรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวะที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในฝั่งสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนต่างชาติอาจยังไม่รีบซื้อหุ้นไทยกลับ หลังจากเดินหน้าขายสุทธิหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ แรงขายหุ้นไทยจากนักลงทุนต่างชาติอาจเริ่มชะลอลงได้บ้าง หลังดัชนี SET50 ได้ย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับสำคัญ โดยคาดขายหุ้นสุทธิ 5 พันล้านบาท

ส่วนบอนด์ ประเมินว่าแรงขายบอนด์จากนักลงทุนต่างชาติยังคงมีอยู่ โดยนักลงทุนต่างชาติอาจยังไม่รีบกลับเข้ามาซื้อบอนด์ไทย จนกว่าจะเห็นสัญญาณการกลับมาแข็งค่าขึ้นที่ชัดเจนของเงินบาท หรือ บอนด์ยีลด์ระยะยาวมีการปรับตัวขึ้นอีกครั้ง คาดว่าบอนด์ขายสุทธิ 5 พันล้านบาท

“การทยอยขายเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้ส่งออกก็อาจช่วยชะลอไม่ให้เงินบาทอ่อนค่ารุนแรงได้ ยกเว้นในกรณีที่ เงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านสำคัญอย่าง 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ผู้ส่งออกอาจเริ่มปรับการวางออเดอร์และเริ่มคาดหวัง รอให้เงินบาทอ่อนค่าต่อ”

นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ธนาคารประเมินกรอบเงินบาทสัปดาห์หน้า (วันที่ 13-17 กุมภาพันธ์ 2566) เคลื่อนไหวอยู่ที่ 33.60-34.20 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ อัตราเงินเฟ้อเดือนม.ค.ของสหรัฐฯ คาดชะลอลงเป็น 6.2% จาก 6.5% หากสูงกว่าคาดจะหนุนการคาดการณ์ดอกเบี้ยเฟดและดอลลาร์แข็งค่า ส่งผลให้เงินบาทอ่อน นอกจากนี้ ยังมีดัชนีราคาผู้ผลิตและยอดค้าปลีกสหรัฐฯ รวมถึงจีดีพีปี 2565 ของไทย โดยธนาคารกรุงศรีอยุธยาคาดจะขยายตัวได้ 3.2%

“จะเห็นว่าเดือน ก.พ. นี้ เงินบาทอ่อนค่าจากกระแสเงินทุนไหลออก แรงขายทำกำไรปรับพอร์ตของต่างชาติ และการทบทวนการคาดการณ์ของตลาดต่อดอกเบี้ยเฟดที่สูงขึ้นหลังตัวเลขจ้างงานเดือนม.ค.สดใสเกินคาด ทำให้นับตั้งแต่ต้นปี นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิหุ้น 1.4 พันล้านบาท และพันธบัตร 1.9 หมื่นล้านบาท”