สถาบันป๋วยฯ ชี้ครัวเรือนไทยแบกต้นทุนจากฝุ่น PM 2.5 อยู่ที่ 6.8 พันบาท/ปี

วันเด็ก2565 เช็กค่าฝุ่น PM2.5 วอนผู้ปกครองดูแลลูก-หลาน

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ หรือ “PIER Research” เผยครัวเรือนไทยแบกต้นทุนทางมลพิษกว่า 4.61 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 14-15% ของจีดีพี ระบุหากคิดต้นทุนเฉพาะ ฝุ่น PM 2.5 อยู่ที่ 6.8 พันบาทต่อปี แนะเพิ่มงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่ม หลังเฉลี่ยลงทุนแค่ 0.270-0.491% ของงบประมาณแผ่นดินทั้งหมด ต่ำกว่ามาเลเซีย 2 เท่า

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช รองศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์จากมลพิษทางอากาศต่อสังคมไทย โดยใช้ข้อมูลจากการสำรวจความพึงพอใจและความสุขในชีวิตของชาวไทยและรายได้ครัวเรือนของสำนักงานสถิติแห่งชาติ แบบสำรวจข้อมูลความจำเป็นพื้นฐานและข้อมูลประชากรของกระทรวงมหาดไทย ตลอดจนข้อมูลคุณภาพอากาศจากกรมควบคุมมลพิษ

ทั้งนี้ งานวิจัยทำการประมาณมูลค่าความเต็มใจจ่ายเพื่อลดมลพิษทางอากาศด้วยวิธี subjective well-being ตามแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม ซึ่งเชื่อว่าความพึงพอใจในชีวิตของมนุษย์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระดับรายได้ สถานะทางสุขภาพ สภาพสังคม และคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยสมมติว่าครัวเรือนจะได้รับผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพหากระดับความเข้มข้นของมลพิษทางอากาศในจังหวัดที่อาศัยอยู่สูงกว่าค่าแนะนำรายปีขององค์การอนามัยโลก

PM2.5

ผลการศึกษาพบว่า ในปี 2562 ฝุ่น PM 2.5 สร้างมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์ต่อครัวเรือนไทย 2.173 ล้านล้านบาท และหากรวมทุกสารมลพิษ (PM10, PM2.5, CO, NOx, NO2) มูลค่าความเสียหายต่อครัวเรือนไทยจะสูงถึง 4.616 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 14-15% ของจีดีพี โดยหากคิดเป็นมูลค่าต้นทุนครัวเรือนที่ต้องแบกรับเฉพาะ PM 2.5 จะอยู่ที่ 6,800 บาทต่อปี

ดร.วิษณุได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม โดยเมื่อพิจารณารายจังหวัดจะพบว่า ครัวเรือนทุกจังหวัดของไทย (ยกเว้นภูเก็ต) ต่างก็ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศกันถ้วนหน้า โดย 5 จังหวัดแรกที่มีมูลค่าความเสียหายต่อครัวเรือนสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ (ซึ่งมีมูลค่าความเสียหาย 436,330 ล้านบาทต่อปีสำหรับ PM 2.5 และ 927,362 ล้านบาทต่อปีเมื่อพิจารณาทุกสารมลพิษ) รองลงมาได้แก่ ชลบุรี นครราชสีมา เชียงใหม่ และขอนแก่น ตามลำดับ

นอกจากนี้ หากปรับใช้ค่าแนะนำใหม่ขององค์การอนามัยโลก ซึ่งพบว่า PM 2.5 มีอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์เพิ่มขึ้นจากในอดีตมาก มูลค่าความเสียหายจะสูงขึ้นจากที่รายงานไว้ข้างต้น โดย WHO ได้ยกระดับการเตือนภัยในปี 2564 ที่ผ่านมาด้วยการปรับค่าแนะนำใหม่เป็น 5 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร/ปี กล่าวคือ หาก PM 2.5 ค่าสูงเกินกว่าค่าแนะนำ จะเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างมีนัยสำคัญ เช่น โรคมะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งไต หลอดเลือดในสมองอุดตัน หัวใจล้มเหลว สมองเสื่อม ภูมิแพ้ และหอบหืด เป็นต้น

ทั้งนี้ เหตุใดมลพิษทางอากาศของประเทศไทยถึงทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งงานวิจัยของ ดร.วิษณุ ระบุว่า หลัก ๆ แล้วมาจาก 3 ประเด็น ได้แก่ ที่ผ่านมาไทยเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจมากและให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมน้อย ซึ่งสังเกตได้จากงบประมาณแผ่นดินที่ตั้งไว้สำหรับการปกป้องสิ่งแวดล้อมที่ตั้งไว้เพียง 8,361-12,868 ล้านบาทต่อปีในช่วง 2560-2566 หรือคิดเป็น 0.270-0.491% ของงบประมาณแผ่นดินทั้งหมด

โดยในปี 2566 ล่าสุดตั้งงบประมาณไว้เพียง 0.33% ของงบประมาณแผ่นดินทั้งหมด ซึ่งนับว่าน้อยกว่ามาเลเซียถึง 2 เท่า และสหภาพยุโรปถึง 5 เท่า อีกหนึ่งตัวอย่างได้แก่ การเก็บภาษีรถเก่าในอัตราที่ต่ำกว่ารถใหม่ทำให้มลพิษเพิ่มขึ้นเนื่องจากรถเก่าปลดปล่อยมลพิษที่มากกว่ารถใหม่

“ไทยเราควรให้ความสำคัญทางด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยงบประมาณอย่างน้อยควรอยู่ใกล้เคียงกับประเทศมาเลเซียที่มีการลงทุนประมาณ 0.6-0.8% หรืออย่างสหภาพยุโรปที่มีการลงทุน 1.6-1.7% ซึ่งการวัดดัชนีทางด้านสิ่งแวดล้อมไทยเราอยู่ในอันดับรั้งท้าย เมื่อเทียบกับขนาดจีดีพีที่อยู่ในอันดับ 23 ของโลก ซึ่งเราต้องให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะปัญหามลพิษทางอากาศที่กระทบคนไทยทุกคน และคาดว่าต้นทุนทางมลพิษในปีนี้จะเพิ่มขึ้นกว่าใน 2 ปีที่ผ่านมา”

ที่ผ่านมาไทยใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์มาแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมน้อยมาก กล่าวคือ มาตรการส่วนใหญ่ที่ใช้แก้ไขปัญหามักมีลักษณะบังคับให้ปฏิบัติตาม อาทิ มาตรการห้ามเผาในที่โล่งแจ้ง การใช้มาตรฐานไอเสียและน้ำมัน เป็นต้น โดยมาตรการบังคับเหล่านี้ทำให้เอกชนไม่มีแรงจูงใจในการปรับตัวเพื่อปรับปรุงวิธีการผลิตให้ดีขึ้น และไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จและขาดกฎหมายที่บูรณาการการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ

กล่าวคือ ที่ผ่านมาหน่วยงานกำกับดูแลคือกรมควบคุมมลพิษไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการจัดการกับปัญหาเพราะมักจะเกี่ยวข้องกับกระทรวงอื่น ๆ ด้วย นอกเหนือไปจากกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่กระจัดกระจายไปตามหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ หากมีการลักลอบปล่อยมลพิษในโรงงานอุตสาหกรรม กรมควบคุมมลพิษจะไม่มีอำนาจเด็ดขาดในการดำเนินการเชิงปฏิบัติ เพราะขึ้นอยู่กับกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น

นอกเหนือจากการแก้ไข 3 ประเด็นข้างต้นแล้ว สำหรับการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ ดร.วิษณุ กล่าวว่า ผู้กำหนดนโยบายควรเร่งดำเนินการดังนี้ ควรสร้างความตระหนักรู้ถึงอันตรายของมลพิษทางอากาศให้ทุกคนได้รับทราบอย่างทั่วถึงทั้งเกษตรกร ผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน งานวิจัยในต่างประเทศพบว่าเป็นวิธีที่ต้นทุนต่ำสุด แต่สามารถก่อให้เกิดผลประโยชน์ที่สูงมาก

ควรเพิ่มจุดตรวจวัดคุณภาพอากาศให้มากขึ้นในทุกพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อภัยจากมลพิษและเชื่อมโยงแอปพลิเคชันเพื่อส่งข้อมูลเตือนภัยคุณภาพอากาศแบบ real-time ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย พิจารณาปรับเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพอากาศของไทยให้เข้มงวดมากขึ้นจากปัจจุบันที่เข้มงวดน้อยกว่าค่าแนะนำขององค์การอนามัยโลกกว่า 3 เท่า

ควรเร่งแก้ปัญหาตามแหล่งกำเนิดของมลพิษทางอากาศ ซึ่งหลัก ๆ ประกอบด้วย 1) การเผาไหม้เชื้อเพลิงในภาคยานยนต์และการขนส่ง 2) การเผาในที่โล่งแจ้งภาคเกษตรและป่าไม้ทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน และ 3) การเผาไหม้เชื้อเพลิงและกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม โดยต้องเข้าใจว่ามลพิษทางอากาศในแต่ละแหล่งกำเนิดมีช่วงเวลาการปล่อยและสาเหตุที่แตกต่างกัน และมลพิษทางอากาศเป็นปัญหาที่ต้องการการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นชั่วคราวและแก้ไขกันเฉพาะหน้าในระยะสั้นแต่ละปีเท่านั้น

ควรประเมินผลสัมฤทธิ์ของมาตรการต่าง ๆ เนื่องจากแม้จะมีแผนหรือมาตรการที่ดี แต่การปฏิบัติจริงมักไม่สัมฤทธิ์ผล ดังนั้น ควรสร้างตัวชี้วัดเพื่อประเมินความสำเร็จของมาตรการข้างต้น พร้อมระบุบุคคลและหน่วยงานผู้รับผิดชอบตั้งแต่หน่วยงานส่วนกลางลงไปถึงหน่วยงานท้องถิ่นระดับพื้นที่